ที่สำนักงานผู้ตรวจการแผ่นดิน พล.อ.วิทวัส รชตะนันทน์ ประธานผู้ตรวจการแผ่นดิน ประธานผู้ตรวจการแผ่นดิน ประชุมหารือร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับกรณีการเรียกคืนเงินเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุที่ได้รับซ้ำซ้อนกับเงินบำนาญพิเศษ เพื่อแก้ไขปัญหาเรื่องร้องเรียน กรณีการเรียกคืนเงินเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุที่ได้รับซ้ำซ้อนกับเงินบำนาญพิเศษ
โดย พล.อ.วิทวัส กล่าวภายหลังการประชุมว่า ตามที่นายศรีสุวรรณ จรรยา ได้ยื่นเรื่องร้องเรียนขอให้พิจารณาหาแนวทางแก้ไขปัญหากรณีกรมบัญชีกลาง กระทรวงการคลัง ได้มีหนังสือแจ้งให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในหลายจังหวัดเรียกคืนเงินเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ เนื่องจากได้รับเงินบำนาญพิเศษตามเกณฑ์ที่กฎหมายกำหนดไว้ก่อนแล้ว ทำให้ผู้สูงอายุที่ถูกเรียกคืนเงินดังกล่าวเดือดร้อนกันทั่วประเทศ วันนี้จึงได้เชิญหน่วยงานที่เกี่ยวข้องมาประชุมเพื่อแสวงหาข้อเท็จจริงและหาทางออกร่วมกัน โดยเห็นว่า ปัญหาดังกล่าวเกิดจากระเบียบกระทรวงมหาดไทยว่าด้วยหลักเกณฑ์การจ่ายเงินเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ ขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น พ.ศ. 2552 ที่มีการกำหนดเงินบำนาญพิเศษเป็นลักษณะต้องห้ามการรับเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุด้วย ทั้งที่ตามระเบียบการจ่ายเงินผู้สูงอายุก่อนหน้านี้ไม่ได้กำหนดไว้ อีกทั้งเงินบำนาญพิเศษเป็นคนละก้อนกับเงินบำนาญปกติ เพราะการจะได้รับเงินบำนาญพิเศษจะต้องเกิดจากการที่ข้าราชการปฏิบัติหน้าที่เพื่อประเทศชาติแล้วเกิดความพิการ ทุพพลภาพ หรือเสียชีวิต ซึ่งในกรณีที่ทุพพลภาพยังได้รับบำนาญตามปกติและได้รับบำนาญพิเศษ และตาม พ.ร.บ.บำเหน็จบำนาญข้าราชการ 2494 ยังกำหนดว่าในบำนาญพิเศษที่จ่ายให้กับบิดามารดาให้ได้รับตลอดชีวิต ดังนั้นจึงเห็นว่าผู้สูงอายุที่ได้รับเงินบำนาญพิเศษ มีสิทธิที่จะได้รับเบี้ยผู้สูงอายุด้วย วันนี้ที่ประชุมจึงมีมติให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องไปดำเนินการปรับปรุงแก้ไขระเบียบกระทรวงมหาดไทยว่าด้วยหลักเกณฑ์การจ่ายเงินเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ ขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น พ.ศ. 2552 อาศัยอำนาจตามมาตรา 33 พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ (พ.ร.ป.) ว่าด้วยผู้ตรวจการแผ่นดิน พ.ศ. 2560 โดยให้แล้วเสร็จภายใน 120 วัน โดยหวังว่าหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะดำเนินการโดยไม่ชักช้า
นอกจากนั้นยังเห็นว่าควรแก้ไขบทเฉพาะกาลให้ผู้ที่ได้รับเงินไปแล้วโดยสุจริต ไม่ต้องไปเรียกเงินคืนจากบุคคลนั้นๆ โดยเทียบเคียงกับคำพิพากษาศาลฎีกาหมายเลขคดีที่ 10850/2559 ซึ่งถือว่าเป็นลาภมิควรได้ แต่ได้รับเงินไว้โดยสุจริต จึงไม่ต้องคืนเงินดังกล่าว ส่วนกรณีบุคคลที่ได้รับบำนาญพิเศษและได้นำเงินเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุมาคืนภาครัฐแล้วนั้น ก็ถือว่าท่านแสดงสิทธิเจตนารมณ์ที่จะมาคืน ไม่ได้อยู่ในฐานะที่เดือดร้อน หรือเป็นผู้มีรายได้น้อย ก็แสดงว่ามีเจตนาว่าจะไม่รับเงินก้อนนี้ แต่หากมีการแก้ไขระเบียบดังกล่าวแล้ว ผู้สูงอายุที่ได้รับบำนาญพิเศษก็อาจจะขอรับสิทธิรับเบี้ยผู้สูงอายุหลังจากนั้นได้ แต่คงไม่สามารถขอรับเงินที่มีการคืนไปแล้วได้.
.