Skip to content
  • หน้าแรก
  • รายการสถานี
    • อรุณสวัสดิ์ ฟ้าวันใหม่
    • เล่าข่าวเด่น เล่นข่าวดัง
    • ฟ้าวันใหม่นิวส์
    • สนามข่าวโซเชียลฯ
    • ข่าวฟ้ายามเย็น
    • บ้านเมืองของเรา
    • ฟ้าทะลายโจร
  • การเมือง
  • เศรษฐกิจ-สังคม
  • บทความ
    • บทความพิเศษ
    • ประวัติศาสตร์ ศิลปะวัฒนธรรม
    • วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
  • ไลฟ์สไตล์
  • ซื้อสินค้า
  • ผังรายการ
  • ติดต่อโฆษณา
  • หน้าแรก
  • รายการสถานี
    • อรุณสวัสดิ์ ฟ้าวันใหม่
    • เล่าข่าวเด่น เล่นข่าวดัง
    • ฟ้าวันใหม่นิวส์
    • สนามข่าวโซเชียลฯ
    • ข่าวฟ้ายามเย็น
    • บ้านเมืองของเรา
    • ฟ้าทะลายโจร
  • การเมือง
  • เศรษฐกิจ-สังคม
  • บทความ
    • บทความพิเศษ
    • ประวัติศาสตร์ ศิลปะวัฒนธรรม
    • วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
  • ไลฟ์สไตล์
  • ซื้อสินค้า
  • ผังรายการ
  • ติดต่อโฆษณา

ข่าวฟ้ายามเย็น

‘เบญจา’ ชี้ต้องปฏิรูปงบที่เกี่ยวกับสถาบันฯ เพื่อไม่ถูกนำไปแอบอ้าง กระทบพระเกียรติยศ

6 มิถุนายน 2564

(1 มิถุนายน 2564) เบญจา แสงจันทร์ ส.ส. แบบบัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล อภิปรายร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2565 โดยระบุว่า เมื่อพูดถึงการกำหนดวงเงินของหน่วยงานรับงบประมาณต่างๆ ที่ตั้งงบประมาณค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องกับสถาบันพระมหากษัตริย์ในปีงบประมาณ 2565 มีงบประมาณที่เกี่ยวข้องกับสถาบันอยู่อย่างน้อยๆ 33,712,000,000 บาท (สามหมื่นสามพันเจ็ดร้อยสิบสองล้านบาท) เป็นรายการตามที่แสดงเป็นชื่อโครงการในเอกสารงบประมาณ ยังไม่ได้รวมงบที่เกี่ยวข้องกับสถาบันที่อาจซ่อนอยู่ในหมวดหมู่โครงการก่อสร้างที่มีราคาต่อหน่วยต่ำกว่า 10 ล้านบาท หรืออื่นๆ ในจำนวนนี้แบ่งงบออกได้เป็น 5 ประเภท คือ

1.งบพิทักษ์รักษาและเทิดทูนสถาบันพระมหากษัตริย์

2.งบถวายความปลอดภัย

3.งบส่วนราชการในพระองค์

4.งบโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริและโครงการหลวงต่าง ๆ

5.งบอื่นๆ เช่น พระราชทานเพลิงศพ เครื่องราชอิสริยาภรณ์

          “ต้องย้ำก่อนว่า เงินจำนวนสามหมื่นกว่าล้านนี้ไม่ได้เป็นปัญหาแต่อย่างใด แต่ประเด็นคือผลผลิตของการตั้งงบประมาณ และประสิทธิภาพของโครงการที่ควรจะมีการพินิจพิจารณาอย่างรอบคอบ เหมาะสม เปิดเผย โปร่งใส ถูกต้อง และตรวจสอบได้ เพื่อให้ประโยชน์สูงสุดนั้นตกเป็นของประชาชน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในยุคเศรษฐกิจตกต่ำจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 เช่นนี้”

โดยเฉพาะโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริและโครงการหลวงต่างๆ ที่ใช้เงินงบประมาณกว่า 1.5 หมื่นล้านบาท ที่มีอยู่มากกว่า 50 โครงการ กระจายอยู่อย่างน้อย 7 แผนงาน ใน 30 กรม และอีกกว่า 7,000 องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น โดยบางโครงการเป็นโครงการที่รัฐบาลได้รับพระราชทานพระราชดำริ หรือมีประชาชนถวายฎีกาขึ้นมาเมื่อหลายสิบปีก่อน อาจต้องมีการศึกษาใหม่ว่า พื้นที่นั้นมีความเปลี่ยนแปลงจากในอดีตมากน้อยเพียงใด หัวใจของปัญหายังคงเหมือนเดิมอยู่หรือไม่

“หลายครั้งพบว่าหน่วยงานรับงบอย่างหน่วยงานราชการบางหน่วยกลับพยายามผลักดัน ‘โครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ’ โดยไม่ได้ทำการศึกษาถึงความเปลี่ยนไปของสภาพพื้นที่และสภาพปัญหาให้ถ่องแท้ ทำให้เกิดความขัดแย้งและการต่อต้านขึ้นมาจากประชาชนในพื้นที่ นี่ไม่ใช่การกล่าวหา แต่มีเอกสารและมีหลักฐาน จำโครงการอ่างเก็บน้ำเหมืองตะกั่วที่คณะกรรมาธิการงบประมาณเมื่อปีที่แล้วเสนอให้ตัดงบประมาณได้หรือไม่ เอกสารรายงานด้านสิ่งแวดล้อมที่กรมชลประทานเร่งรีบจัดทำขึ้นปรากฏว่ามีข้อผิดพลาดในเอกสาร ความผิดพลาดนั้นคือ การจัดทำรายงานผลกระทบสิ่งแวดล้อมโครงการอ่างเก็บน้ำเหมืองตะกั่วอันเนื่องมาจากพระราชดำริ จังหวัดพัทลุง มีการคัดลอกเอารายงานของจังหวัดเพชรบูรณ์ มาเปลี่ยนชื่อเป็นจังหวัดพัทลุง แต่กลับลืมแก้ไขข้อมูลพื้นฐานสำคัญ อย่างลักษณะทางภูมิศาสตร์และพืชเศรษฐกิจหลัก จนถูกประชาชนคนทั่วไปจับผิดได้ ถึงแม้ว่ากรมชลประทานจะอ้างว่านี่เป็นรายงานฉบับเก่า แต่จะฉบับเก่าหรือว่าจะเป็นฉบับใหม่ไม่ใช่สาระสำคัญ แต่สาระสำคัญคือการจัดทำรายงานปลอม เป็นรายงานที่ไม่ตรงกับสภาพของพื้นที่ นั่นเท่ากับรายงานฉบับนี้เป็นรายงานเท็จ ซึ่งการเอาข้อมูลอันเป็นเท็จมาใช้กับ ‘โครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ’ ที่เกี่ยวเนื่องโดยตรงกับสถาบันพระมหากษัตริย์ การแอบอ้างเช่นนี้เหมาะสมหรือไม่ และจะส่งผลกระทบโดยตรงต่อภาพลักษณ์ของสถาบันเสื่อมเสียไปถึงพระเกียรติยศขององค์พระมหากษัตริย์หรือไม่”

อีกหนึ่งโครงการคือ ‘โครงการก่อสร้างอ่างเก็บน้ำนฤบดินทรจินดา’ หรือ ‘โครงการห้วยโสมงอันเนื่องมาจากพระราชดำริ’ ซึ่งเป็นโครงการชลประทานขนาดใหญ่ที่ใช้เวลาสร้างมายาวนานมากกว่า 10 ปี แต่ก็ยังก่อสร้างไม่แล้วเสร็จสมบูรณ์เสียที โครงการนี้ผ่านมติ ครม. มาตั้งแต่ปี 2552 มีมติอนุมัติให้กรมชลประทานดำเนินการก่อสร้าง โดยกำหนดระยะเวลาก่อสร้างตั้งแต่ปี 2553 จนถึงปี 2561 รวมระยะเวลา 9 ปี ใช้งบประมาณในการก่อสร้างภายใต้กรอบวงเงิน 9,078 ล้านบาท เริ่มตั้งงบประมาณมาตั้งแต่ปี 2553 แต่ก็เลื่อนปีที่จะสร้างเสร็จไปเรื่อยๆ นับตั้งแต่พรรคอนาคตใหม่เริ่มเข้ามาพิจารณางบประมาณในปีงบประมาณ 2563 การก่อสร้างผูกพันมาเป็นเวลามากกว่า 10 ปีแล้ว จนปัจจุบันมาถึงพรรคก้าวไกลเข้าสู่ปีงบประมาณที่ 2565 หน่วยงานรับงบอย่างกรมชลประทานก็เลื่อนการขอใช้งบประมาณผูกพันของโครงการนี้มาโดยตลอด ตอนปีงบประมาณ 2563 ก็ชี้แจงว่าจะแล้วเสร็จปี 2564 พอมาปีงบประมาณ 2564 หน่วยงานรับงบชี้แจงว่าจะแล้วเสร็จปี 2565 ปัจจุบันงบประมาณปี 2565 ท่านก็ระบุว่าจะแล้วเสร็จปี 2566 สรุปแล้วโครงการนี้ติดปัญหาที่ตรงไหน ทำไมถึงไม่สามารถก่อสร้างให้แล้วเสร็จสมบูรณ์ได้

“เมื่อเข้าไปดูในรายละเอียดของตัวโครงการ พบว่าโครงการห้วยโสมง เป็นโครงการที่ในหลวงรัชกาลที่ 9 ได้พระราชทานพระราชดำริแนวทางการแก้ปัญหาบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชนให้กรมชลประทานนำไปดำเนินการไว้ตั้งแต่เมื่อปี 2521 หรือเมื่อ 40 กว่าปีก่อนแล้ว จึงเกิดความเป็นกังวลว่าจากวันนั้นจนถึงวันนี้ สภาพพื้นที่ สภาพภูมิประเทศ และการใช้ประโยชน์ในพื้นที่ของพี่น้องประชาชนเปลี่ยนแปลงไปจากที่ได้ออกแบบก่อสร้างไว้เดิมแล้ว ดังนั้นโครงการนี้ยังมีความเหมาะสมจำเป็นที่จะต้องก่อสร้างหรือปรับปรุงเปลี่ยนแปลงอยู่มากน้อยเพียงใด โครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริหลายๆ โครงการที่หน่วยงานรับงบมีการดำเนินโครงการที่เต็มไปด้วยความไม่ชอบมาพากล ควรจะต้องรับฟังความเห็นจากชุมชนอย่างแท้จริง เพื่อแสดงให้เห็นว่าโครงการเหล่านี้โปร่งใสและเป็นธรรม เพื่อไม่ให้หน่วยงานต่างๆ แอบอ้างดำเนินโครงการซึ่งอาจจะส่งผลกระทบกับภาพลักษณ์ของสถาบันพระมหากษัตริย์”

เบญจา กล่าวต่อว่า สำนักงานคณะกรรมการพิเศษเพื่อประสานงานโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ หรือ กปร. ในฐานะองค์กรกลางที่มีหน้าที่ดูแลโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริจึงควรตรวจสอบโครงการเหล่านี้ หากพบว่าตัวโครงการมีปัญหา ทั้งจากเหตุความไม่โปร่งใส หรือจากการที่สภาพความต้องการของพื้นที่ได้เปลี่ยนไปจากเดิมแล้ว กปร. ก็ควรสั่งให้มีการเพิกถอนสถานะโครงการอันเนื่องมาจากพระดำริ นั้นเสีย

นอกจากนี้ยังมีโครงการที่ใช้ชื่อเกี่ยวข้องกับสถาบันพระมหากษัตริย์ที่ดูเหมือนจะไม่ใช่พันธกิจของหน่วยงานเจ้าภาพ อย่างเช่น โครงการอนุรักษ์พันธุ์พืชของกองทัพอากาศ โครงการอนุรักษ์แนวปะการังของกองทัพเรือ และโครงการพัฒนาพื้นที่ต้นน้ำของกองบัญชาการกองทัพไทย อีกด้วย ด้วยเหตุนี้จึงเห็นว่ามีความจำเป็นที่จะต้องตั้งแผนบูรณาการแผนใหม่ คือแผนบูรณาการโครงการที่เกี่ยวข้องกับสถาบันพระมหากษัตริย์ โดยให้สำนักงาน กปร. เป็นแม่งานในการดูแลและจัดลำดับความสำคัญของโครงการที่ใช้ชื่อ ‘อันเนื่องมาจากพระราชดำริ’ และ ‘โครงการหลวง’ ทั้งหมด โดยสาเหตุที่ต้องทำให้อยู่ในรูปแบบของแผนบูรณาการนั้น มี 3 ประการ

หนึ่ง เพื่อที่จะลดความซ้ำซ้อนของการดำเนินงาน ไม่ปล่อยให้หลายหน่วยงานเข้ามารุมทำแค่เพียงโครงการใดโครงการหนึ่ง ที่อาจไม่ใช่ภารกิจหลักของหน่วยงานนั้นๆ

สอง เพื่อให้สำนักงาน กปร. สามารถจัดลำดับความสำคัญ และความเร่งด่วนของแต่ละโครงการได้ อันจะทำให้เกิดประโยชน์สูงสุดแก่ประชาชน

สาม คือเพื่อให้เกิดความสะดวกต่อสภาผู้แทนราษฎร ในการตรวจสอบโครงการต่างๆ ที่ใช้ชื่อเกี่ยวข้องกับสถาบันพระมหากษัตริย์ ไม่ให้กลุ่มบุคคลที่ไม่ประสงค์ดีแอบอ้างนำสถาบันกษัตริย์มาใช้เป็นเกราะกำบัง อันจะส่งผลเสียต่อพระเกียรติยศขององค์พระมหากษัตริย์ได้

การรวมงบประมาณเข้าด้วยกันเป็นแผนบูรณาการ จะทำให้การใช้งบประมาณเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น รวมไปถึงทำให้พี่น้องประชาชนที่เป็นเจ้าของเงินงบประมาณ สามารถตรวจสอบการใช้งบประมาณที่เกี่ยวข้องกับสถาบันพระมหากษัตริย์ได้อย่างถูกต้อง ไม่ทำให้เกิดข่าวลือผิดๆ ที่อาจทำให้พระเกียรติยศขององค์พระมหากษัตริย์และพระบรมวงศานุวงศ์ได้รับความเสียหาย

ในหัวข้อสุดท้าย เบญจากล่าวว่า จะอภิปรายถึงงบเทิดพระเกียรติ เช่น งบจัดงานหรือจัดนิทรรศการในวันสำคัญๆ อย่างวันเฉลิมพระชนมพรรษา ที่ทั้งเปิดเผยและแฝงอยู่ตามกรมกองต่างๆ แบบเบี้ยหัวแตก 1 ล้านบ้าง 5 ล้านบ้าง ปัญหาของเรื่องนี้คือการที่งบถูกหว่านอย่างกระจัดกระจายเกินไป ทำให้นอกจากจะไม่เกิดประโยชน์อะไรแล้ว ยังเป็นการไม่สมพระเกียรติขององค์พระมหากษัตริย์อีกด้วย

“เราควรที่จะรวมงบประมาณพวกนี้เป็นก้อนเดียว แล้วมอบหมายให้หน่วยงานในสำนักนายกรัฐมนตรี หรือกระทรวงวัฒนธรรม นำไปจัดงานให้สมพระเกียรติ โดยอาจเป็นงบประมาณสำหรับทุกจังหวัดในการจัดงานออกร้าน ให้ประชาชนได้ออกมาจับจ่ายซื้อขายสินค้าคล้ายงานเทศกาลในวันเฉลิมพระชนมพรรษาของปีหน้า ซึ่งนอกจากจะเป็นการเฉลิมพระเกียรติแล้ว ยังเป็นการช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจภายในประเทศอีกทางหนึ่ง ดีกว่านำงบประมาณไปจัดทำซุ้มตั้งตามสี่แยกหรือหน้าอาคารสำนักงาน ซึ่งไม่ได้เกิดประโยชน์ทางเศรษฐกิจแต่อย่างใด

“สุดท้ายนี้ อยากขอฝากไปถึงหน่วยรับงบประมาณทุกหน่วยที่จะเข้ามาชี้แจงงบประมาณในวาระ 2 ว่าขออย่านำสถาบันพระมหากษัตริย์มาเป็นเกราะกำบังเพื่อที่จะหลีกเลี่ยงการตรวจสอบจากสภา และหวังว่าในปีนี้ ส่วนราชการในพระองค์จะส่งตัวแทนมาเข้าร่วมการพิจารณางบประมาณ เพื่อให้เป็นไปตามกระบวนการพิจารณางบประมาณภายใต้ระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขด้วย”

แชร์กับเพื่อน

  • Facebook iconFacebook
  • Twitter iconTwitter
  • LINE iconLine

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

24 มิถุนายน 2565

“นฤมล” โชว์วิชั่นปฏิรูปเศรษฐกิจ ชี้ประกันราคา-จำนำข้าว สิ้นเปลืองมาก!!

อ่านต่อ
24 มิถุนายน 2565

จะปลื้มลูก … เกรงใจน้องบ้าง!! “ทักษิณ” โวคิดถูกเลือก “อุ๊งอิ๊ง” นำทัพเพื่อไทย

อ่านต่อ
24 มิถุนายน 2565

“ชัชชาติ” เบรก “ลูกชาย” อยู่ห่างๆ การเมือง 

อ่านต่อ
23 มิถุนายน 2565

ไพรวัลย์ชี้ “แจ้” เสียเพราะลูกศิษย์ แนะควรสึกไปใช้ชีวิตที่อยากทำจะดีกว่า

อ่านต่อ
23 มิถุนายน 2565

‘สุชาติ’ ซัด ‘บิ๊กตู่’ ไร้ความรับผิดชอบเป็นนักการเมืองสั่งแบบทหารไม่ได้

อ่านต่อ
23 มิถุนายน 2565

‘กรณ์-จุรินทร์’ จวกกันยับ!

อ่านต่อ
Facebook Youtube Line
บริษัทบลูสกายแชนแนล
  • 2170 อาคารกรุงเทพทาวเวอร์ ชั้น 8
    แขวงบางกะปิ เขตห้วยขวาง
    กรุงเทพมหานคร 10310
  • 02-308-0020
line-logo-100
Copyright © 2021