แก้วสรร อติโพธิ ถาม ไลฟ์สด ของธนาธร เรื่อง “วัคซีนพระราชทาน : ใครได้ใครเสีย” โดนรัฐบาลส่งคนไปแจ้งความเอาผิด มาตรา ๑๑๒ ได้อย่างไร ใครวิพากษ์รัฐบาลก็โดน ๑๑๒ ปิดปากเอาได้ง่ายๆ ยังงี้หรือ ?
ตอบ บทไลฟ์สดที่ว่านี้ คุณต้องแบ่งเนื้อความเป็นสองส่วน ส่วนที่วิพากษ์นโยบายจัดซื้อวัคซีน โควิด ของรัฐบาล กับส่วนที่พาดพิงสถาบัน
ส่วนวิพากษ์นั้น คุณธนาธรเขาเห็นว่า
1.การจัดหาวัคซีนของรัฐบาลช้าเกินไป ไม่กระจายความเสี่ยง สั่งจองกับ แอสตร้าซีเนกร้าเจ้าเดียว มีวัคซีนของจีนเจือมาบ้างนิดหน่อย แถมยังสั่งไม่เพียงพอกับจำนวนประชากรอีกด้วย
2. บริษัทสยามไบโอไซแอนซ์ ที่แอสตร้าฯจ้างผลิตวัคซีนนั้น ขาดทุนต่อเนื่องไม่น่าไว้วางใจให้มาดูแลผลิตวัคซีนเกือบทั้งหมดให้ประเทศไทย
ถาม พูดแค่นี้ก็ผิดแล้วหรือครับ
ตอบ ยังครับ มันมีส่วนที่สองที่พาดพิงสถาบันว่า 1. เป็นการไม่ชอบมาพากลอย่างยิ่งที่รัฐบาล ออกเงินให้สยามไบโอฯ ปรับปรุงโรงงานเครื่องจักรเครื่องมือในงานผลิตวัคซีนนี้ด้วยกว่า 1,500 ล้านบาท ( มีสัญญาให้ชำระคืนในรูปของวัคซีนในภายหลัง )
2. นโยบายที่ผิดพลาด และการให้เงินสนับสนุนที่ไม่ชอบมาพากลนี้ เกิดขึ้นได้อย่างไรนั้น คุณธนาธรไม่บรรยายตรงๆ ว่าในหลวงสั่งการ แต่บอกข้อมูลว่าสยามไบโอนี้มีในหลวงถือหุ้น 100 % แล้วใช้คำในหัวข้อว่า “วัคซีนพระราชทาน”
3. แล้วเขาเสริมด้วยนะครับว่า การตัดสินใจครั้งนี้เกิดขึ้นในไตรมาสที่สามของปีที่แล้ว ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่ ม๊อบเยาวชนปลดแอกกำลังโจมตีสถาบันอย่างหนักพอดี การให้บริษัทในหลวงโผล่มาผลิตวัคซีนให้ประชาชน จึงเป็นนโยบายซ่อมแซมความเสียหายทางเกียรติภูมิให้สถาบันด้วย
ถาม การบอกโดยปริยาย ใช้ถ้อยคำและเดินเรื่องให้ผู้ฟังเข้าใจได้เองเช่นนี้ ถือเป็นการใส่ความได้แล้วหรือยังครับ
ตอบ ประเด็นตัดสินในคดีก็อยู่ตรงนี้แหละครับ ว่าท้องเรื่องและคำนี้ชัดพอไหมที่จะถือเป็นการใส่ความในหลวง ที่ผ่านมาก็มีคนใช้คำในทำนองนี้มาแล้วเช่นใช้คำว่า“กระสุนพระราชทาน” เพื่อสื่อว่าในหลวงรู้เห็นในการใช้อาวุธกับฝ่ายตนด้วย
ถาม เห็นธนาธรเขาอ้างว่า เมื่อพฤศจิกายนปีที่แล้ว ในคราวชี้แจงเรื่องการจัดซื้อวัคซีนนั้น นายกฯลุงตู่ก็พูดพาดพิงไว้แล้วในครั้งนั้นว่า งานนี้ “ในหลวงได้พระราชทานบริษัทในพระปรมาภิไธยให้มาผลิตวัคซีนด้วย” ดังนั้นการที่เขาพูดตามคำพูดลุงตู่ข้างต้นว่า “วัคซีนพระราชทาน” จึงไม่แปลก
ตอบ นายกฯลุงตู่เขาบอกว่าในหลวง “พระราชทานบริษัท” ไม่ใช่ “พระราชทานวัคซีน”สองคำนี้ให้ความเข้าใจต่างกันคนละเรื่องเลย ที่ลุงตู่พูดน่าจะหมายถึงการกราบทูลขอให้เจ้าของบริษัท ทรงเห็นด้วยกับการที่สยามไบโอจะรับงานผลิตวัคซีนตามโครงการที่ผู้เกี่ยวข้องได้ไปเจรจากับแอสตร้าซีเนกร้าเท่านั้นก็ได้ การที่ลุงตู่ใช้คำว่า“ในหลวงพระราชทานบริษัทในพระปรมาภิไธยให้รับผลิตวัคซีน ” จึงถูกต้องแล้วส่วนควรจะพูดหรือไม่นั้น ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง
ถาม คดี 112 ของธนาธร จึงมีประเด็นชี้ขาดอยู่ตรงการใช้คำคำนี้
ตอบ ครับ เวลาอัยการเขียนคำฟ้อง ก็ต้องบรรยายฟ้องว่า จำเลยขึ้นต้นหัวข้อก็บอกไว้แล้วว่า”ใครได้ใครเสีย” จากนั้นในท้องเรื่องก็ชี้ถึงมาตรการที่ไม่ชอบมาพากล ไม่สมเหตุผล แล้วมีบริษัทของในหลวงได้ประโยชน์ ส่วนจะเกิดขึ้นได้อย่างไร ใครเจ้ากี้เจ้าการนั้น จำเลยก็จบด้วยคำที่ขึ้นต้นไว้ก่อนแล้วว่า “วัคซีนพระราชทาน”
ถาม จำเลยคงปฏิเสธท่าเดียวว่า ตนเองวิพากษ์นายกฯลุงตู่เท่านั้นว่าแอบอ้างในหลวงมาคุ้มกันนโยบายที่ผิดพลาดของตน
ตอบ ถ้าต้องการแค่นี้ มันไม่จำเป็นต้องวิพากษ์พาดพิงถึงในหลวงเลยก็ได้ ตั้งหัวข้อว่า “นโยบายจัดหาวัคซีนโควิดของรัฐบาล : ใครได้ใครเสีย? ” เปลี่ยนหัวข้อแค่นี้ก็รอดตัวแล้วครับ น่าเสียดายที่เกินเลยจนจะเข้าคุกอย่างนี้
ถาม ทำไมต้องเสียดายครับ
ตอบ คนรุ่นใหม่ควรเป็นความหวังใหม่ ส่งผู้แทนดีๆเก่งๆมาช่วยติดตามตรวจสอบแก้ไขความเลวในแผ่นดินนี้ได้ดีกว่ารุ่นผม แต่ผู้นำที่ชักใบเรือขึ้นมารับลมรับพลังเยาวชนไทยในยุคนี้ ได้พลังแล้วกลับถือท้ายพาเรือมุดเข้าป่าชายเลนไปเลย นโยบายจัดหาวัคซีนโควิดครั้งนี้ของรัฐบาลก็เช่นกัน ผมเห็นด้วยว่ามีจุดที่ควรตรวจสอบซักถามอยู่จริงๆ แต่แทนที่พวกธนาธรเขาจะสืบสาวกันให้จริงจัง กลับเกินเลยพุ่งมาพาดพิงสถาบัน ถึงขั้นเป็นคดีใส่ความให้ในหลวงเสียหายไปเสียได้
ถาม เข้าตำรา “ปากหมาพาโชค ” ตอบ มันเป็นปัญหาที่สมองและหัวใจครับ ไม่ใช่ปาก
ที่มา ไทยโพสต์ออนไลน์
.