“ไผ่-หมอลำแบงค์-สมยศ” วอนศาลปล่อยตัว แถลงรับปากจะไม่พูดพาดพิงสถาบันฯ “รุ้ง” ขู่ถ้าไม่ได้ประกันจะอดข้าวตาม “เพนกวิน”
เผยแพร่: 29 มี.ค. 2564 17:37 ปรับปรุง: 29 มี.ค. 2564 17:37 โดย: ทีมข่าวอาชญากรรม
“ไผ่ ดาวดิน-สมยศ” แถลงต่อศาล อ้างถูกคุมขังทำให้หาหลักฐานมาต่อสู้คดีได้ไม่เต็มที่ เป็นเหตุให้ไม่ได้รับความเป็นธรรม รับปากหากได้ประกันตัวจะไม่พูดพาดพิงสถาบันเบื้องสูง ด้าน “หมอลำแบงค์” พร้อมทำตามเงื่อนไขติดกำไล EM-ไม่ยุ่งเกี่ยวการชุมนุม ขณะที่ “รุ้ง ปนัสยา” แถลงเสียงสั่น หากไม่ได้ประกันจะอดอาหารตาม “เพนกวิน”
วันนี้ (29 มี.ค.) ที่ห้องพิจารณา 704 ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก ศาลนัดตรวจพยานหลักฐานคดีหมายเลขดำ อ.287/2564 ที่พนักงานอัยการพิเศษฝ่ายคดีอาญา 7 เป็นโจทก์ฟ้อง นายพริษฐ์ ชิวารักษ์ หรือ เพนกวิน กับพวกรวม 22 คน แกนนำและแนวร่วมกลุ่มราษฎร เป็นจำเลย ในข้อหาหมิ่นประมาทพระมหากษัตริย์ฯ ตาม ป.อาญา ม.112, ยุยงปลุกปั่นฯ ม.116 และข้อหาอื่นๆ จากกรณีร่วมกันชุมนุม 19 กันยาทวงอำนาจคืนราษฎร เมื่อวันที่ 19-20 ก.ย.2563 ที่ ม.ธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์-สนามหลวง โดยเจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์ได้เบิกตัวจำเลย ซึ่งถูกคุมขังไม่ได้รับการประกันตัวมาศาล ส่วนจำเลยที่ได้รับการประกันตัวเดินทางมาศาลครบ
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ภายหลังการพิจารณาช่วงเช้าที่ศาลอนุญาตเลื่อนนัดตรวจพยานหลักฐานและกำหนดวันนัดสืบพยาน ไปเป็นวันที่ 8 เม.ย. 2564 เวลา 09.00 น. แล้วนั้น ในช่วงบ่ายได้มีการดำเนินกระบวนพิจารณาต่อจนเสร็จสิ้น ซึ่งตามรายงานกระบวนพิจารณา นายสมยศ พฤกษาเกษมสุข จำเลยที่ 4 แถลงว่า เนื่องจากจำเลยที่ 4 ไม่ได้รับสิทธิในการประกันตัว ทำให้ไม่อาจหาพยานหลักฐานมาต่อสู้คดีได้อย่างเต็มที่ และไม่สามารถตรวจดูพยานหลักฐานโจทก์ได้โดยละเอียด เกรงว่า หากไม่ได้รับโอกาสต่อสู้คดีอย่างเต็มที่ จะเป็นเหตุให้ตนไม่ได้รับความยุติธรรม หากได้รับการปล่อยตัวชั่วคราวจะไม่พูดพาดพิงเกี่ยวกับสถาบันเบื้องสูงอีก
ขณะที่ น.ส.ปนัสยา สิทธิจิรวัฒนกุล หรือ รุ้ง จำเลยที่ 5 แถลงว่า ขณะนี้กำลังศึกษาชั้นปีที่ 3 คณะสังคมและมานุษยวิทยา ม.ธรรมศาสตร์ การถูกคุมขังในระหว่างพิจารณา โดยไม่ได้รับการปล่อยตัวชั่วคราว เป็นอุปสรรคต่อการเรียนและสอบ ทำให้ไม่ได้รับโอกาสทางการศึกษา ทั้งเป็นเหตุให้ไม่อาจตรวจดูพยานหลักฐานของโจทก์ และหาพยานหลักฐานยืนยันความบริสุทธิ์ ทั้งขาดโอกาสในการปรึกษาทนายความ เพื่อจะต่อสู้คดีได้อย่างเต็มที่ ขอศาลพิจารณาเกี่ยวกับการปล่อยตัวชั่วคราว เพื่อให้มีโอกาสต่อสู้คดีอย่างเต็มที่
สำหรับ นายจตุภัทร์ บุญภัทรรักษา หรือ ไผ่ จำเลยที่ 7 แถลงว่า หากได้รับการปล่อยชั่วคราวจะไม่พูดกล่าวถึงสถาบันพระมหากษัตริย์อีก
ส่วน นายปติวัฒน์ สาหร่ายแย้ม หรือ หมอลำแบงค์ จำเลยที่ 3 แถลงว่า หากได้รับการปล่อยตัวชั่วคราว จะไม่ยุ่งเกี่ยวกับการชุมนุมทางการเมืองและพูดพาดพิงสถาบันฯ อีกอย่างเด็ดขาด โดยจะไปประกอบอาชีพร้องหมอลำเพื่อหาเลี้ยงชีพต่อไป ทั้งยินดีที่จะปฏิบัติตามเงื่อนไขในการปล่อยตัวชั่วคราวทุกประการ ไม่ว่าจะเป็นการสวมใส่เครื่องมือติดตามตัวอิเล็กทรอนิกส์ (EM) การวางเงื่อนไขห้ามออกนอกเขตกำหนด หรือการวางเงื่อนไขห้ามยุ่งเกี่ยวกับการชุมนุม และจะมาศาลทุกนัด หากไม่ปฏิบัติตามเงื่อนไขหรือไม่มาศาลนัดหนึ่งนัดใด ก็ยินดีที่จะให้ศาลถอนประกัน
ศาลพิเคราะห์แล้วเห็นว่า คำแถลงของจำเลยที่ 3 กรณีมีข้อเท็จจริงเปลี่ยนแปลงไป โดยจำเลยที่ 3 มีการเสนอเงื่อนไขที่จะไม่เข้ายุ่งเกี่ยวกับการชุมนุมพูดพาดพิงถึงสถาบันฯ หากได้รับการปล่อยชั่วคราว ยินยอมที่จะปฏิบัติตามเงื่อนไขที่ศาลกำหนด ไม่ว่าจะเป็นการติดเครื่องมือติดตามตัวอิเล็กทรอนิกส์ (EM) หรือห้ามออกนอกเขตกำหนดและจะมาศาลตามนัดทุกนัด จึงบันทึกไว้เพื่อประกอบดุลพินิจในการปล่อยชั่วคราว
ผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติมว่า สำหรับกรณีทนายจำเลยแถลงเกี่ยวกับการไม่สามารถนำคลิปวิดีโอพยานหลักฐานเปิดภายในเรือนจำให้จำเลยดูได้นั้น จึงขอศาลเบิกจำเลยที่ถูกคุมขังมาเพื่อเปิดคลิป จะได้เป็นข้อมูลที่ใช้เพื่อต่อสู้คดีอย่างเต็มที่ ศาลพิเคราะห์แล้วเห็นว่า เพื่อให้โอกาสจำเลยที่ถูกคุมขังตรวจสอบวัตถุพยานและต่อสู้คดีได้อย่างเต็มที่ จึงให้นัดพร้อมตรวจสอบวัตถุพยานในวันที่ 7 เม.ย. 2564 เวลา 09.00 น. ซึ่งเป็นการนัดอัยการโจทก์และทนายจำเลยมาตรวจพยานวัตถุล่วงหน้าก่อนวันที่ 8 เม.ย. 2564
นอกจากนี้ ในการแถลงของ น.ส.ปนัสยา จำเลยที่ 5 ยังแถลงระบายความอัดอั้นตันใจต่อศาลว่า ขอโอกาสศาลให้ประกันตัวชั่วคราวด้วยน้ำเสียงสั่นเครือด้วยว่า ถ้าไม่ได้ประกันตัวในวันนี้ก็จำเป็นจะต้องอดอาหารเพื่อประท้วงเป็นเพื่อน “เพนกวิน”
ครั้งหน้าสำคัญสุดๆ! ทนาย’คณะราษฎร’เผยเหตุถอนคำร้องประกันตัว’แกนนำ’
วันอังคาร ที่ 30 มีนาคม พ.ศ. 2564, 15.23 น.
ทนายความ”คณะราษฎร”เผยเหตุถอนคำร้องประกันตัวแกนนำ ชี้ต้องเตรียมหลักฐาน-หลักทรัพย์เพิ่ม ยันการยื่นประกันครั้งต่อไปสำคัญสุดๆ
เมื่อวันที่ 30 มีนาคม 2564 นายกฤษฎางค์ นุตจรัส ทนายความของแกนนำคณะราษฎร เปิดเผยว่า เหตุที่ตนได้ถอนคำร้องขอปล่อยตัวชั่วคราวแกนนำ เมื่อเย็นวันที่ 29 มี.ค.เนื่องจากยังเตรียมเอกสารไม่ทัน เพราะการยื่นในครั้งนี้เป็นครั้งสำคัญที่สุด เพราะจะต้องมีเหตุที่จะต้องเสนอต่อศาลว่า จำเลยมีพฤติการณ์เปลี่ยนแปลงไป รวมทั้งมีหลักฐานชิ้นใหม่ เพื่อให้ศาลมีดุลพินิจปล่อยชั่วคราวจำเลย รวมทั้งหลักทรัพย์ก็ต้องเพิ่มขึ้น เพื่อให้มีความน่าเชื่อถือ ซึ่งตอนนี้อยู่ระหว่างรวบรวมเอกสารส่วนหลักทรัพย์ไม่มีปัญหา
สำหรับบรรยากาศการพิจารณาคดีนัดที่ผ่านมาถือว่าดีมาก แม้จำเลยบางคนจะยังมีการแสดงออกเชิงสัญลักษณ์อยู่บ้าง ตนก็ตักเตือนว่า ในการต่อสู้คดีความนั้นต้องมีความใจเย็น ศาลยุติธรรมเป็นผู้ตัดสินคดี ทนายความก็มีส่วนที่จะทำให้ความเป็นธรรมเกิดขึ้น การที่ต่อสู้คดีกับอำนาจรัฐอย่างไรก็ต้องให้ศาลยุติธรรมเป็นผู้ตัดสิน ตอนนี้จำเลยได้ผ่านการถูกคุมขังในเรือนจำมาระยะหนึ่งแล้ว ได้รับการเรียนรู้และเป็นผู้ใหญ่ขึ้นเยอะ อย่าง นายไมค์ ภานุพงศ์ ก็บอกว่าจะยื่นประกันตัวเป็นครั้งสุดท้าย ถ้าไม่ได้ก็จะไม่ยื่นอีกแล้ว ขอคิดต่อสู้อย่างเงียบๆ ในเรือนจำแทน ส่วน นายพริษฐ์ ชิวารักษ์ หรือเพนกวิน เขาอดข้าวจนอ่อนเพลีย ก่อนหน้านี้เคยยื่นคำร้องขอเปลี่ยนที่คุมขังไปขังที่ รพ.พระรามเก้า ศาลก็ยกคำร้อง เพนกวินเองก็อยากจะได้ประกันตัว
นายกฤษฎางค์ กล่าวว่า ในฐานะส่วนตัวเรื่องนี้มีความเห็นออกเป็น 2 ความเห็น ตัวอย่างเช่น ในแง่มุมของผู้ใหญ่ เช่น เพื่อนๆ ของตนที่เป็นทนายความจาก ม.ธรรมศาสตร์ ก็ไม่เห็นด้วยกับแนวทางของเด็กๆ อีกมุมหนึ่งได้แก่พวกวัยรุ่นและเด็กๆ ก็ชื่นชอบและสนับสนุนกลุ่มคณะราษฎร์ จะเห็นได้ว่าเป็นการขัดแย้งทางความคิด ซึ่งหากมองตามทฤษฎีของชาร์ลดาร์วิน บอกว่า ความขัดแย้งจะนำไปสู่ความเจริญก้าวหน้า ความขัดแย้งจะนำไปสู่ความเปลี่ยนแปลง ความขัดแย้งจะนำไปสู่สิ่งใหม่ที่ดี
นายกฤษฎางค์ กล่าวอีกว่า ก่อนจะยื่นคำร้องขอปล่อยชั่วคราวครั้งนี้จำเลยบางคนก็มีทัศนะที่เปลี่ยนแปลงไป เพราะเขาอาจจะต้องสูญเสียบางอย่าง เช่น หากได้ประกันตัวแล้วเขาจะไม่ต้องร่วมการชุมนุมและอื่นๆ ซึ่งแม้ไม่เข้าร่วมชุมนุม แต่อาจจะไปสนับสนุนอย่างอื่นก็ได้หรือหรือไปสนับสนุนเรื่องเงินแทนก็ได้ และยินดีใส่กำไลข้อเท้า (EM) เป็นต้น สำหรับความรุนแรงที่เกิดขึ้นในการชุมนุมแต่ละครั้ง จำเลยทุกคนยืนยันว่าไม่เกี่ยวข้องกับเลยและไม่ได้เกิดจากผู้ชุมนุมด้วย
FB : นิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ อยู่ที่ ป่าพะยอม
-อ่านข่าว จำเลยในคดี ปอ.112 แถลงต่อศาลว่า หากได้รับการประกันตัวไป จะไม่พูดพาดพิงสถาบันอีก อันนี้แหละครับ ที่ผมเคยพูดว่าทำให้”ข้อเท็จจริงในคดีเปลี่ยนแปลงไป” อันเป็นเหตุให้ศาลสามารถใช้ดุลพินิจในการให้ประกันตัวเปลี่ยนแปลงไปจากเดิมได้ ผมเคยกล่าวหลายครั้งว่า ที่ศาลไม่ให้ประกันตัวเพราะจำเลยหรือผู้ต้องหาจะไป”กระทำซ้ำ” ในความผิดที่ถูกฟ้องหรือถูกกล่าวหา อันจะก่อให้เกิดความเสียหายได้ อยากให้จำเลยหรือผู้ต้องหา ทบทวนการกระทำ และลองนำความเห็นของนักกฎหมาย(แก่ๆ) อย่างผม ไปทบทวน อย่าเชื่อคำยุแหย่ของใคร อย่าคึกคะนองอยู่กับเสียงปรบมือหน้าเวทีปราศรัย อย่าสนุกกับการให้สัมภาษณ์หน้ากล้องทีวีเลยครับ เวลาติดคุก ติดอยู่คนเดียวนะครับ คนอื่นไม่มาช่วยติดคุกด้วยหรอก ส่วนผู้มีอำนาจในบ้านเมืองก็หาเวทีที่ปลอดภัยให้เด็กได้พูดคุยกัน เรารู้นี่ครับอย่างไหนทำได้ อย่างไหนทำไม่ได้ เรารู้นี่ครับอย่างไหนเกินขอบเขตอย่างไหนไม่เกินขอบเขต ถ้าทุกฝ่ายที่มีหน้าที่ ทำอย่างนี้ บ้านเมืองก็สงบ ผมนี่ไม่สุดโต่ง ไม่สุดขั้ว ไม่เรียกใครว่า สลิ่ม ไม่เรียกใครว่า สามกีบ ไม่เรียกใครด้วยถ้อยคำเสียดสี เพราะการพูดเสียดสีกันอย่างนั้นเหมือนคนปัญญาอ่อน เป็นทุรชน มองคนไทยเป็นศัตรูกัน ไม่ใช่วิธีแก้ปัญหามีแต่สร้างปัญหาสร้างความแตกแยกเพิ่มขึ้น เราต่างเป็นคนไทยด้วยกัน ประการสำคัญผมเป็นนัก”เสรีนิยมประชาธิปไตย” ผมไม่ใช่”นักประชาธิปไตย” ดังที่เคยกล่าวมาหลายครั้งแล้ว ผมไม่ก้าวหน้าจนต้องทำลายล้างระบบเดิมๆ และผมก็ไม่อนุรักษ์นิยมจนต้องถวิลหาอดีตอย่างหิวโหย/
.