Skip to content
  • หน้าแรก
  • รายการสถานี
    • อรุณสวัสดิ์ ฟ้าวันใหม่
    • เล่าข่าวเด่น เล่นข่าวดัง
    • ฟ้าวันใหม่นิวส์
    • สนามข่าวโซเชียลฯ
    • ข่าวฟ้ายามเย็น
    • บ้านเมืองของเรา
    • ฟ้าทะลายโจร
  • การเมือง
  • เศรษฐกิจ-สังคม
  • บทความ
    • บทความพิเศษ
    • ประวัติศาสตร์ ศิลปะวัฒนธรรม
    • วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
  • ไลฟ์สไตล์
  • ซื้อสินค้า
  • ผังรายการ
  • ติดต่อโฆษณา
  • หน้าแรก
  • รายการสถานี
    • อรุณสวัสดิ์ ฟ้าวันใหม่
    • เล่าข่าวเด่น เล่นข่าวดัง
    • ฟ้าวันใหม่นิวส์
    • สนามข่าวโซเชียลฯ
    • ข่าวฟ้ายามเย็น
    • บ้านเมืองของเรา
    • ฟ้าทะลายโจร
  • การเมือง
  • เศรษฐกิจ-สังคม
  • บทความ
    • บทความพิเศษ
    • ประวัติศาสตร์ ศิลปะวัฒนธรรม
    • วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
  • ไลฟ์สไตล์
  • ซื้อสินค้า
  • ผังรายการ
  • ติดต่อโฆษณา

บ้านเมืองของเรา

นั่งไม่ติด! 'บิ๊กตู่'เรียก'อนุทิน-ทีมแพทย์'หารือด่วน รับมือสถานการณ์โควิดบุกคุก

17 พฤษภาคม 2564

วันจันทร์ ที่ 17 พฤษภาคม พ.ศ. 2564, 14.05 น.

17 พ.ค.64 มีรายงานว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม เรียกนายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรมว.สาธารณสุข พร้อมคณะแพทย์ที่ปรึกษาเข้าหารือเป็นการเร่งด่วน หลังมีการแพร่ระบาดของไวรัส โควิด-19 จำนวนมากโดยเฉพาะในเรือนจำ ซึ่งวันเดียวกันนี้ มีผู้ติดเชื้อในเรือนจำสูงถึง 6,853 ราย

หากไม่ปรับกลุ่มเป้าหมายเชิงยุทธศาสตร์ของการฉีดวัคซีน ก็ยากที่จะลดการแพร่ระบาด

เผยแพร่: 14 พ.ค. 2564 16:51   ปรับปรุง: 14 พ.ค. 2564 16:51   โดย: ผู้จัดการออนไลน์

การแพร่ระบาดของโควิดยังคงอยู่ในอัตราที่สูงระดับกว่าสองพันคนต่อวันอย่างต่อเนื่อง ขณะเดียวกันจำนวนผู้ป่วยหนักก็มีนับพันคน และมีผู้เสียชีวิตรายวันทะลุไปถึงสามสิบกว่าคนในช่วงกลางเดือนพฤษภาคม ส่วนแหล่งแพร่ระบาดหลักที่เคลื่อนตัวจากแหล่งบันเทิง ซึ่งถูกปิดไปแล้ว ไปสู่แหล่งชุมชน ที่มีผู้คนรวมตัวกันอยู่หนาแน่น ทั้งในชุมชนแออัด ตลาด คุก โรงงาน และสถานที่ทำงานของภาครัฐและเอกชนบางแห่ง

มาตรการเพื่อยับยั้งการแพร่ระบาดที่รัฐบาลดำเนินการในขณะนี้ดูเหมือนไม่อาจหยุดยั้งหรือลดการแพร่ระบาดได้อย่างมีประสิทธิผลมากนัก การควบคุมอย่างเด็ดขาดเน้นแหล่งที่เป็นต้นตอที่ทำให้เกิดการแพร่ระบาดช่วงแรก เช่น แหล่งบันเทิง สนามกีฬา เป็นต้น แต่ด้วยเหตุผลทางเศรษฐกิจรัฐบาลไม่กล้าใช้มาตรการควบคุมสถานที่สาธาณะอย่างเข้มงวดดังที่ทำในการระบาดครั้งแรก ดังนั้นสถานที่อย่างตลาด ศูนย์การค้า โรงงาน ก็ยังสามารถเปิดให้ดำเนินการได้ต่อไป ทางเลือกเช่นนี้ก็มีความสมเหตุสมผลพอประมาณ เพราะหากห้ามดำเนินกิจกรรมทางเศรษฐกิจอย่างเข้มงวดดังที่ทำในช่วงแรก ก็จะสร้างความเดือดร้อนให้แก่ประชาชนอย่างมหาศาล แต่ข้อด้อยคือไม่อาจหยุดยั้งการแพร่ระบาดได้

แต่จุดอ่อนอย่างหนึ่งในช่วงสองเดือนที่ผ่านมาของรัฐบาลคือ ยุทธศาสตร์การฉีดวัคซีนที่มีการกำหนดกลุ่มยุทธศาสตร์และพื้นที่ยุทธศาสตร์ไม่ค่อยเหมาะสมนัก ทำให้การฉีดวัคซีนไม่มีส่วนช่วยในการแพร่ระบาดและยังไม่สามารถบรรเทาความรุนแรงและอัตราการตายของผู้ติดเชื้อได้ ตั้งแต่เดือนมีนาคมจนถึงวันที่ ๑๓ พฤาภาคม ข้อมูลของประทรวงสาธารณสุขระบุว่า มีผู้ได้รับการฉีดวัคซีนเข็มที่ ๑ แล้วจำนวน ๑,๓๗๒,๐๑๓ ราย และมีผู้ได้รับวัคซีนเข็มที่ ๒ จำนวน ๕๖๓,๕๕๒ ราย ในภาพรวมแต่ละวันกระทรวงสาธารณสุขฉีดวัคซีนได้ประมาณ ๓๕,๐๐๐ – ๔๐,๐๐๐ ราย ดังข้อมูลเมื่อวันที่ ๑๓ พฤษภาคม ฉีดได้ทั้งหมด ๓๗,๑๑๑ ราย เป็นวัคซีนใหม่เข็มแรก ๖,๐๒๑ ราย และเข็มที่ ๒ ๓๑,๐๙๐ ราย (https://ddc.moph.go.th/vaccine-covid19/ ) อัตราการฉีดวัคซีนเข็มที่ ๒ สูงกว่าเข็มที่ ๑ ถึง ๕.๑๖ เท่า

กลุ่มใดบ้างที่ได้รับการฉีดวัคซีนแล้ว กลุ่มแรกสุดคือผู้บริหารประเทศ นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรี สมาชิกวุฒิสภา สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร และข้าราชการระดับสูงบางราย กลุ่มนี้เป็นผู้มีอำนาจรัฐซึ่งเป็นกลุ่มที่รัฐบาลให้สำคัญที่สุดและมีอภิสิทธิ์เหนือประชาชนทั้งปวงจึงไม่แปลกที่ได้รับการวัคซีนเป็นกลุ่มแรก ๆ ของประเทศ ถัดมาเป็นกลุ่มข้าราชการและบุคลากรทางการแพทย์และสาธารณสุขด่านหน้าทั้งภาครัฐและเอกชน กลุ่มเจ้าหน้าที่รัฐที่เกี่ยวข้องกับการควบคุมโควิด ๑๙ เช่น เจ้าหน้าที่ศุลกากร ทหาร และตำรวจ ที่ปฏิบัติหน้าที่ควบคุมโรคชายแดน บุคคลที่มีโรคประจำตัว ๗ โรค เช่น โรคทางเดินหายใจเรื้อรัง โรคหัวใจและหลอดเลือด โรคเบาหวาน เป็นต้น และผู้มีอายุ ๖๐ ปีขึ้นไป นอกจากกลุ่มเป้าหมายแล้ว รัฐบาลได้เลือกพื้นที่บางพื้นที่เป็นพื้นที่ยุทธศาสตร์ในการฉีด ด้วยเหตุผลทางเศรษฐกิจด้วย คือ จังหวัดภูเก็ต และ จังหวัดที่เลือกด้วยเหตุผลของความรุนแรงของการระบาดที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ ซึ่งคือจังหวัดสมุทรสาคร

กล่าวโดยสรุป การกำหนดกลุ่มยุทธศาสตร์ของรัฐบาลในระยะที่มีวัคซีนจำกัดใช้เกณฑ์ ๓ เกณฑ์ในการจำแนกกลุ่มยุทธศาสตร์ คือ ๑) เกณฑ์การดำรงตำแหน่งสำคัญของประเทศ เช่น นายกรัฐมนตรี รัฐมนตรี สว. และ ส.ส. ๒) เกณฑ์การมีความเสี่ยงสูงต่อการรับเชื้อจากการทำงาน เช่น บุคลากรทางการแพทย์ และสาธารณสุขด่านหน้า และ ๓) เกณฑ์ความรุนแรงของอาการภายหลังการรับเชื้อ ได้แก่ ผู้เป็นโรคเรื้อรัง และ ผู้สูงอายุ

เมื่อพิจารณากลุ่มที่ได้รับวัคซีนจริงกับวัตถุประสงค์ที่รัฐบาลเขียนได้ อันได้แก่ “ฉีดวัคซีนเพื่อลดการป่วยรุนแรงและเสียชีวิต และรักษาระบบสุขภาพของประเทศ” และเมื่อดูการเลือกกลุ่มยุทธศาสตร์ในการฉีด มีแต่เฉพาะกลุ่มที่ผู้ป่วยเรื้อรังและผู้สูงอายุเท่านั้นที่สอดคล้องกับวัตถุประสงค์ดังกล่าว แต่ความรุนแรงของโรคมีฐานคิดจากการใช้ข้อมูลเดิมในการระบาดครั้งแรก สำหรับการระบาดครั้งที่สามนั้นข้อมูลอัตราป่วยตายจำแนกตามอายุที่ทันสมัยยังไม่เผยแพร่สู่สาธารณะ แต่เรามักได้ยินข่าวบ่อยครั้งว่าผู้เสียชีวิตมีอายุน้อยลง เมื่อเข้าไปดูข้อมูลในเว็บไซด์ https://www.hfocus.org ของวันที่ ๑๓ พฤษภาคม ๒๕๖๔ ปรากฎว่ามีข้อมูลอัตราการป่วยตายที่มีการจำแนกอายุถึงวันที่ ๑๗ เมษายน ๒๕๖๔ เท่านั้น

ที่น่าสนใจคือ รัฐบาลไม่ได้กำหนดวัตถุประสงค์ของการฉีดวัคซีนว่า “เพื่อลดการแพร่ระบาดของโรค” แต่อย่างใด เรื่องนี้ต้องพิจารณาเพราะความเข้าใจของคนทั่วไปเกี่ยวกับวัคซีนคือ เมื่อได้รับการฉีดวัคซีนแล้วจะสามารถป้องกันการติดเชื้อได้ ความเข้าใจเช่นนี้มีมาอย่างยาวนาน และบริษัทผลิตวัคซีนเองก็ได้นำมาเป็นประเด็นหลักในการอ้างถึงสรรพคุณของวัคซีนในยามที่สื่อสารกับสาธารณะเช่น ฉีดแล้วมีประสิทธิผลในการป้องกันการติดเชื้อได้ร้อยละ ๙๐ บ้าง ร้อยละ ๘๐ บ้าง เป็นต้น ดังนั้นหากรัฐบาลเชื่อมั่นว่าวัคซีนที่นำมาฉีดให้ประชาชนดีจริง รัฐบาลต้องกำหนดให้ “การลดการแพร่ระบาด” เป็นวัตถุประสงค์หลักประการหนึ่ง แต่เมื่อไม่มั่นใจก็ต้องหาเรื่องอื่นออกมาชูโรง นั่นคือ การลดความรุนแรงและการตาย ซึ่งดูเหมือนว่าวัคซีนเกือบทุกยี่ห้อจะมีสรรพคุณแบบนี้

อย่างไรก็ตามสองเดือนที่ผ่านมาของการฉีดวัคซีน ดูเหมือนไม่เป็นไปตามวัตถุประสงค์ ดังเห็นได้จากจำนวนผู้ป่วยที่มีอาการรุนแรงนับวันจะเพิ่มขึ้น จนมีจำนวนเป็นพันกว่าราย ตัวเลขวันที่ ๑๓ พ.ค. ของกระทรวงสาธารณสุขคือ ๑,๒๒๖ ราย (https://ddc.moph.go.th/viralpneumonia/) และจำนวนผู้เสียชีวิตก็เพิ่มขึ้นเช่นเดียวกัน

รัฐบาลอ้างว่าในเดือนพฤาภาคมจะมีวัคซีนเข้ามาในไทยร่วม ๕.๒ ล้านโดส และเดือนมิถุนายนจำนวน ๖ ล้านโดส และได้กำหนดยุทธศาสตร์การฉีดเอาไว้ ๓ แนวทาง คือ ๑) ฉีดผู้ที่ทะเบียน “หมอพร้อม” ซึ่งเป็นกลุ่ม ๗ โรคและอายุ ๖๐ ปีขึ้นไป (ร้อยละ ๓๐) ๒) ฉีดกลุ่มเป้าหมายที่โรงพยาบาลนัดหมาย (ร้อยละ ๕๐) และ ๓) ฉีดแบบประชาชนเดินเข้ามาขอฉีดเอง ร้อยละ ๒๐ ผมคิดว่าการกำหนดยุทธศาสตร์การฉีดแบบนี้นอกจากไม่ช่วยลดความรุนแรงและการเสียชีวิตแล้ว ยังไม่สามารถทำให้การแพร่ระบาดลดลงอีกด้วย

ในการฉีดวัคซีนร่วม ๑๑.๒ ล้านโดสช่วงสองเดือนถัดจากนี้นั้น ผมคิดว่า รัฐบาลต้องเน้นวัตถุประสงค์เรื่อง “การลดการแพร่ระบาด เพื่อลดจำนวนผู้ป่วยรายใหม่” เป็นหลัก ส่วนการลดความรุนแรงและการเสียชีวิตจากการติดเชื้อนั้นเป็นผลสืบเนื่องที่จะเกิดขึ้นจากการแพร่ระบาดที่ลดลง ดังนั้นการลดการแพร่ระบาดจึงเป็นหัวใจหลักของการฉีดวัคซีนในช่วงสองเดือนถัดจากนี้ และควรใช้ยุทธศาสตร์การฉีดวัคซีนที่เกื้อหนุนให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจของประชาชนสามารถดำเนินต่อไปได้ ด้วยเหตุนี้การกำหนดเกณฑ์การเลือกกลุ่มที่จะได้รับวัคซีนต้องยึดเกณฑ์ ๑)ความจำเป็นในการดำรงอาชีพ ๒) ลักษณะของอาชีพที่มีปฏิสัมพันธ์กับผู้คนเป็นจำนวนมาก และ ๓) ลักษณะความหนาแน่นของประชาชนในแต่ละพื้นที่ เป็นหลัก แทนการใช้เกณฑ์เรื่องอายุ

ภายใต้วัตถุประสงค์ที่ลดการแพร่ระบาดควรใช้วัคซีนที่มีประสิทธิผลในการป้องกันสูงกับกลุ่มคนที่เข้าเกณฑ์ทั้งสาม และกลุ่มเหล่านั้นควรได้รับความลำคัญเป็นลำดับต้น ๆ ในการฉีดวัคซีน ซึ่งประกอบด้วย ๑) ผู้ใช้แรงงานในโรงงาน ๒) ผู้มีอาชีพค้าขายในตลาดสด ตลาดติดแอร์ เจ้าของร้านค้า และร้านอาหารทั้งหลาย ๓) ผู้ที่มีอาชีพขับรถขนส่งสาธารณะและส่งวัสดุ เช่น พนักงานขับรถเมล์ รถแท็กซี่ ๔) เป็นผู้ที่อาศัยในชุมชนแออัดที่อยู่ในกรุงเทพมหานครและเมืองใหญ่ ๆ ๕) บุคคลที่ทำงานด้านบริการซึ่งต้องมีปฏิสัมพันธ์กับผู้คนเป็นจำนวนมากทั้งภาครัฐและเอกชน เช่น พนักงานธนาคาร เจ้าหน้าที่ตำรวจ เจ้าหน้าที่ศาลยุติธรรม เป็นต้น และ๖) นักโทษและผู้คุม

ส่วนจะเป็นวัคซีนยี่ห้อใดก็ขึ้นอยู่กับความเชื่อของรัฐบาลเกี่ยวกับวัคซีนเหล่านั้น แต่ก็ควรเลือกวัคซีนที่มีประสิทธิผลสูงในการป้องกันการติดเชื้อสำหรับฉีดกลุ่มดังกล่าว เพราะจะช่วยลดการแพร่ระบาดได้มากกว่าวัคซีนที่มีคุณภาพต่ำ สำหรับกลุ่มที่มีความเสี่ยงในการสัมผัสโรคต่ำ อยู่ในบ้านเป็นหลัก มีปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่นน้อย มีรายได้พอเลี้ยงตนเองได้ (เช่น ได้รับเงินบำนาญ) หรือ อยู่ในพื้นที่มีสภาพแวดล้อมดี อากาศปลอดโปร่ง ผู้คนไม่หนาแน่น แม้จะสูงอายุก็อาจฉีดวัคซีนในภายหลังก็ได้

แต่หากรัฐบาลยังใช้แนวทางการฉีดวัคซีนดังที่ทำกันอยู่ในเวลานี้ ก็มีความเป็นไปได้ต่ำที่จะทำให้การแพร่ระบาดของโควิดลดลงในช่วงสองเดือนนี้ เพราะเน้นการฉีดในกลุ่มผู้สูงอายุที่มักอยู่กับบ้านและติดต่อสัมผัสกับคนภายนอกน้อย จึงมีความเสี่ยงต่ำในการติดเชื้อและเป็นแหล่งแพร่ระบาด (ถึงแม้ว่าจะเป็นความจริงว่าหากกลุ่มนี้ติดโรคแล้วจะมีอาการรุนแรง) แต่การติดเชื้อของผู้สูงอายุในระยะนี้มักติดจากลูกหลานที่ทำงานนอกบ้าน เช่นโรงงานหรือสำนักงาน เพราะฉะนั้นหากกลุ่มคนที่ทำงานนอกบ้านได้รับการฉีดวัคซีน โอกาสที่พวกเขาจะติดเชื้อและเป็นแหล่งแพร่เชื้อก็จะมีต่ำ และนั่นหมายความว่าผู้สูงอายุที่อยู่บ้านเดียวกันมีโอกาสติดเชื้อโรคต่ำตามไปด้วย

การปรับยุทธศาสตร์การฉีดวัคซีนในเรื่องกลุ่มเป้าหมายจึงเป็นสิ่งที่พึงกระทำอย่างเร่งด่วน หากรัฐบาลประสงค์จะลดการแพร่ระบาดของโควิดในช่วงสองเดือนนี้ และประสงค์ให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจของประชาชนดำเนินต่อไปได้ แต่หากยังไม่ปรับเราก็จะยังติดอยู่กับจำนวนผู้ติดเชื้อรายวันที่สูงต่อไปอีกยาวนาน

แชร์กับเพื่อน

  • Facebook iconFacebook
  • Twitter iconTwitter
  • LINE iconLine

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

24 มิถุนายน 2565

เตรียมตัว! โรงเรียนจิตอาสาพระราชทาน จ่อเปิดรับผู้สนใจฝึกอบรมหลักสูตรจิตอาสา 904 

อ่านต่อ
24 มิถุนายน 2565

การทรงงานของในหลวง 

อ่านต่อ
24 มิถุนายน 2565

ดร.นิว ขอบคุณ ‘สมศักดิ์เจียม’ ฉีกหน้ากากหัวหอกคณะราษฎร 

อ่านต่อ
24 มิถุนายน 2565

เปิดราคาที่สังคมไทยต้องจ่าย หาก ‘ทักษิณ’ กลับประเทศไทย! 

อ่านต่อ
22 มิถุนายน 2565

ปลื้มปีติ ‘ในหลวง’ พระราชทานปริญญาบัตรให้บัณฑิตที่หายป่วยโควิดเป็นกรณีพิเศษ 

อ่านต่อ
22 มิถุนายน 2565

‘ผู้พันเบิร์ด’ เล่า ‘ร.10’ ทรงงานแบบประชาธิปไตยอย่างแท้จริง

อ่านต่อ
Facebook Youtube Line
บริษัทบลูสกายแชนแนล
  • 2170 อาคารกรุงเทพทาวเวอร์ ชั้น 8
    แขวงบางกะปิ เขตห้วยขวาง
    กรุงเทพมหานคร 10310
  • 02-308-0020
line-logo-100
Copyright © 2021