Skip to content
  • หน้าแรก
  • รายการสถานี
    • อรุณสวัสดิ์ ฟ้าวันใหม่
    • เล่าข่าวเด่น เล่นข่าวดัง
    • ฟ้าวันใหม่นิวส์
    • สนามข่าวโซเชียลฯ
    • ข่าวฟ้ายามเย็น
    • บ้านเมืองของเรา
    • ฟ้าทะลายโจร
  • การเมือง
  • เศรษฐกิจ-สังคม
  • บทความ
    • บทความพิเศษ
    • ประวัติศาสตร์ ศิลปะวัฒนธรรม
    • วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
  • ไลฟ์สไตล์
  • ซื้อสินค้า
  • ผังรายการ
  • ติดต่อโฆษณา
  • หน้าแรก
  • รายการสถานี
    • อรุณสวัสดิ์ ฟ้าวันใหม่
    • เล่าข่าวเด่น เล่นข่าวดัง
    • ฟ้าวันใหม่นิวส์
    • สนามข่าวโซเชียลฯ
    • ข่าวฟ้ายามเย็น
    • บ้านเมืองของเรา
    • ฟ้าทะลายโจร
  • การเมือง
  • เศรษฐกิจ-สังคม
  • บทความ
    • บทความพิเศษ
    • ประวัติศาสตร์ ศิลปะวัฒนธรรม
    • วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
  • ไลฟ์สไตล์
  • ซื้อสินค้า
  • ผังรายการ
  • ติดต่อโฆษณา

บ้านเมืองของเรา

เลือก "ก้อนหิน" หรือ "ดอกไม้" วัดใจรัฐบาลครบเทอม

9 กุมภาพันธ์ 2564

07 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2564

“การบริหารความพึงพอใจของคนในสังคมยิ่งสำคัญกว่า เพราะทุกกลุ่มคนในสังคมต่างได้รับผลกระทบถ้วนหน้า”

      โหมโรงกำหนดวันอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาล จำนวน 4 วัน คือ วันที่ 16-18 ก.พ. และลงมติในวันที่ 19 ก.พ. ฝ่ายค้านขึงขัง พร้อมเปิดข้อมูล “หมัดเด็ด” โชว์ความมุ่งมั่นตรวจสอบความไม่ชอบมาพากลในการบริหารงานของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีร่วมคณะ

      แน่นอนว่า ภายใต้องคาพยพและรัฐธรรมนูญปัจจุบัน มือในสภาไม่สามารถล้มรัฐบาลได้ แต่ก็ต้องยอมรับว่าความเข้มข้นในการตรวจสอบจากการอภิปรายไม่ไว้วางใจของฝ่ายค้านในครั้งที่ผ่านมา คุณภาพลดลงเมื่อเทียบกับยุคที่พรรคประชาธิปัตย์ทำหน้าที่ฝ่ายค้าน ยังไม่นับรวมปรากฏการณ์ “แจกกล้วย” ให้ลิงแสดงละครการเมืองไปตามอีเวนต์

      อีกทั้ง การใช้กลไกรัฐสภาในการผลักดันแก้ไขรัฐธรรมนูญ ที่มีส่วนให้การถ่วงดุลฝ่ายบริหารด้วยฝ่ายนิติบัญญัติ ก็ยังไร้อนาคต

      ล่าสุด คณะกรรมาธิการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ลงมติเสียงข้างมากให้การรับหลักการแก้ไขรัฐธรรมนูญต้องใช้เสียง 2 ใน 3 ของรัฐสภา หรือ 500 เสียง จาก 750 เสียง จึงจะแก้รัฐธรรมนูญได้ จากเดิมใช้แค่เสียงกึ่งหนึ่ง และมี ส.ว.เห็นชอบด้วย 1 ใน 3

      ส่งผลให้การแก้รัฐธรรมนูญยากขึ้นไปอีก เพราะต้องหาเสียง ส.ส.และ ส.ว.เห็นชอบเพิ่มมากขึ้นจึงจะแก้ได้สำเร็จ แนวโน้มที่ “ลุงตู่” อยู่ยาวเป็นไปได้สูง

      หันมาดูการบริหารงานของรัฐบาล “ลุงตู่” ท่ามกลางวิกฤติหลายเรื่องนั้นเป็นเรื่องที่น่าเห็นใจ แต่ก็ปฏิเสธได้ยากว่าภายในเนื้องานก็มีร่องรอยของความ “เทาๆ” จากคนรอบข้าง จนกลายเป็นสนิมเนื้อในที่กัดเซาะเสถียรภาพรัฐบาลอยู่เนืองๆ    

          ภายใต้พรรคร่วมรัฐบาลที่ไม่ได้เป็นเนื้อเดียวด้วยอุดมการณ์ แต่จับมือเชิงยุทธศาสตร์ในการป้องกันกลุ่มการเมืองที่ถูกมองว่าอันตรายไม่ให้เข้ามีอำนาจ รวมถึงมีเรื่องผลประโยชน์เป็นเดิมพันที่ผู้เดียงสาทางการเมืองย่อมเข้าใจ จึงทำให้การทำงานร่วมกันไม่ได้เป็นเอกภาพเท่าที่ควร

      พล.อ.ประยุทธ์คงยากที่จะแบ่งภาคการบริหารประเทศและบริหารการเมืองออกจากกัน ในเมื่อจุดเริ่มต้นคือเรื่อง “บุญคุณ” และ “การตอบแทน” ส่งผลให้ลดความเป็นอิสระในการตัดสินใจเชิงนโยบาย

      แต่เมื่อโจทย์ใหญ่ของประเทศคือการแก้ไขปัญหาการแพร่ระบาดโควิด-19 ทุกภาคส่วนจึงโฟกัสไปที่ มาตรการ และนโยบายในการแก้ไขปัญหา

      ซึ่งถือเป็นโชคดีที่ พล.อ.ประยุทธ์เลือก “เชื่อหมอ” และเดินในแนวทางที่เป็นวิทยาศาสตร์ ผสมผสานข้อมูลจากหลายด้าน รักษาสมดุลในห้วงเวลา 1 ปี ไม่ให้ขาเศรษฐกิจพังไปด้วยกัน ไม่เช่นนั้นรัฐบาลคงตกม้าตายเหมือนตอนเริ่มสถานการณ์แพร่ระบาดของโควิด-19 ใหม่ๆ ในรอบแรก

      เพราะการบริหารความพึงพอใจของคนในสังคมยิ่งสำคัญกว่า เนื่องจากทุกกลุ่มคนในสังคมต่างได้รับผลกระทบถ้วนหน้า จากโครงการ “คนละครึ่ง” “เราชนะ” “ม.33 เรารักกัน” และอีกหลายมาตรการที่กำลังทยอยออกมา ทำให้เห็นว่ามีการปรับให้สอดคล้องกับเสียงสะท้อนของผู้ที่ได้รับความเดือดร้อน

      หรือเรียกว่า “ไม่หัก” กระแสสังคมในช่วงที่คนพร้อมจะลุกฮือ

      แต่ก็ต้องระมัดระวังในเรื่องของ “วัคซีน” ที่เป็นเรื่องใหญ่และต้องอธิบายให้สังคมเข้าใจอย่างรวดเร็ว ยิ่งเกิดปัญหาเรื่องห้วงเวลาที่ต้องเลื่อนฉีดเข็มแรกออกไป อาจส่งผลต่อความไม่มั่นใจในขั้นตอนการจัดหา เข้าทางการเมืองที่มีตั้งข้อสังเกตไว้

      รวมไปถึงการเร่งแก้ไขปัญหาความผิดพลาดต่างๆ ที่ส่งผลต่ออารมณ์ความรู้สึกของคนในช่วงนี้ เช่น “เบี้ยคนชรา” ที่กำลังหาทางออก และก็ยังมีความชุลมุนกรณีที่มีการคืนเงินมาแล้วว่าจะดำเนินการอย่างไรไม่ให้ลักลั่นกับมาตรการที่ไม่ต้องคืนเงิน

      เลยไปถึงเร่งจัดการปัญหา “มาเฟีย-คนมีสี” ที่เกาะกินระบบเศรษฐกิจส่วนเกินมานาน สะท้อนคำว่า “ส่วย” ที่เกิดขึ้นมานานนับศตวรรษ

      อันเกิดจากปรากฏการณ์ “ฝีแตก” ในจุดที่เป็นต้นตอการแพร่ระบาดของโควิด-19 ไล่ตั้งแต่ สนามมวย บ่อนการพนัน การลักลอบเข้าเมืองโดยผิดกฎหมาย

      เปิดแผล “ส่วย” ส่งนายที่ต้องจ่ายกันเป็นทอด

      พร้อมตัวละครที่ถูกอ้างถึง และเฉียดไปถึงผู้มีอำนาจและระดับ “บิ๊ก” ที่มีเอี่ยวในผลประโยชน์ จากที่เคยพูดกันแบบ “เขาเล่าว่า” แต่ในที่สุดก็เริ่มมีเค้าลางและหลักฐานที่จะดำเนินการมากขึ้น

      และหาก พล.อ.ประยุทธ์ไฟเขียว และเอาจริงเอาจัง จัดการกับ “ขบวนการ” ที่เกี่ยวข้องกับสิ่งผิดกฎหมายเหล่านี้ให้สิ้นซาก ก็เชื่อว่าจะมีแรงหนุนจากประชาชนเป็นหลังพิง

      นำไปสู่การตอกย้ำผลงานตนเองด้วยการที่ พล.อ.ประยุทธ์กล่าวในรายการ PM PODCAST นายกรัฐมนตรีเล่าเรื่อง ทางเพจเฟซบุ๊กไทยคู่ฟ้า ร่ายยาวการแก้ปัญหาก่อนตบท้ายเฉียดๆ เรื่องการเมือง

      “บ้านเมืองเราโชคดีมีสิ่งศักดิ์สิทธิ์คุ้มครองและประชาชนส่วนใหญ่ให้ความร่วมมือ ทุกภาคส่วนสามัคคีกัน เช่น กรณีการระบาดหนักที่จังหวัดสมุทรสาครนั้น เจ้าหน้าที่ในจังหวัดทำงานหนักเท่าไหร่ก็ไม่พอ เสียสละกัน เจ็บป่วยก็มี ซึ่งเราก็ได้รับกำลังเสริมมาจากทั่วประเทศ มีชุดสอบสวนโรคเกือบ 800 คน จาก 41 จังหวัด มีทีมเฝ้าระวังค้นหาตรวจเชิงรุกอีก 250 คน จาก 25 จังหวัด มีเครื่องไม้เครื่องมือที่รับพระราชทานมา ในส่วนของรัฐบาลและส่วนของกระทรวงสาธารณสุขก็มีเครื่องมือ การทำงานแบบไทยๆ เช่นนี้ถือว่าเป็นจุดแข็งของคนไทย

        เมื่อมีภัย เราก็ร่วมมือกัน ไม่ควรทิ้งใคร หรือคนไทยด้วยกันจะมาดูแคลนคนไทย ดูแคลนบ้านเกิดเมืองนอนของตน ส่วนใครที่ยังเข้าใจคลาดเคลื่อนและสื่อสารออกไปไม่ตรงกับความเป็นจริง ผมเชื่อว่าในสิ่งเหล่านี้จะทำให้ท่านหันมาร่วมมือกับพวกเราและคนส่วนใหญ่ของประเทศ” พล.อ.ประยุทธ์ระบุ

      กระนั้น ต่อให้การเคลื่อนไหวของ “ม็อบราษฎร” จะปลุกเร้า ตีกลองรบ ชู 3 นิ้ว “ปฏิรูปสถาบัน” ไปพร้อมๆ กับเดินพาเหรดขึ้นโรงพัก-ศาล รับทราบข้อกล่าวหา เลี้ยงกระแสไม่ให้เงียบหายไป ใช้เหตุการณ์รัฐประหารในเมียนมาออกมาเคลื่อนไหวชุมนุมเรียกร้องประชาธิปไตยเพื่อกระทบชิ่ง “รัฐบาลลุง” แต่ก็คงทำอะไรไม่ได้มากนัก

      เพราะ “ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ” ประธานคณะก้าวหน้าเอง ไลฟ์สดวัคซีนโควิด ก็โดนคดี และยังถูกกรมป่าไม้แจ้งจับรุกป่า จ.ราชบุรี เนื้อที่ 2,100 ไร่ พร้อมด้วยนางสมพร จึงรุ่งเรืองกิจ, น.ส.ชนาพรรณ จึงรุ่งเรืองกิจ มารดาและพี่สาวที่ต้องโดนหางเลขไปด้วย

      จึงไม่แปลกที่เกมนี้จะมีเดิมพันด้วยการ “ล้มกระดาน” แต่ก็มีแนวโน้มว่ายากที่จะเดินไปจนสุดทาง สร้างการเปลี่ยนแปลงแบบพลิกฟ้าคว่ำแผ่นดินในระยะเวลาอันใกล้

      ไม่ต้องพึ่ง นพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม รักษาการหัวหน้าพรรคไทยภักดี ที่เตรียมออกมาล่ารายชื่อค้านการแก้ไข ม.112 มวลชน ปฏิกิริยา เพื่อเปรียบเทียบกับ “ม็อบ 3 นิ้ว” เพราะเอาเข้าจริงไม่ได้มีผลในเชิงระงับยับยั้ง แต่ยิ่งกลายเป็นตัวเร่งให้ม็อบโค่นรัฐชอบธรรมมากขึ้นไปอีก

      อย่างไรก็ตาม แม้ รธน.จะสร้างความได้เปรียบให้ “รัฐบาลลุงตู่” อยู่ได้ครบเทอม เพราะฝ่ายค้านอ่อนด้อย ม็อบราษฎรสะบักสะบอม แก๊งก้าวหน้ายังต้องรอลุ้นคดี แต่ถ้าตราบใดไม่มีประชาชนสนับสนุน ลุงตู่ก็อยู่ได้ยาก

      จังหวะนี้จึงเป็นโอกาสที่กระแสสังคมหนุนรัฐบาลในการแก้วิกฤติให้ผ่านพ้น รวมไปถึงเชียร์ให้กล้า “ล้างบาง” พังทลาย “ขุมทรัพย์” ใต้ดินที่คนมีอำนาจเข้าไปเอี่ยว ได้รับอานิสงส์ทางอ้อม รวมถึงปฏิรูปองค์กรราชการ กองทัพ ตำรวจ ในห้วงเวลานี้จึงควรทำอย่างจริงจัง ไม่เช่นนั้นก็จะอยู่ท่ามกลางเสียงก่นด่า ไม่ใช่เสียงชื่นชม

      จึงเป็นห้วงที่ “ลุงตู่” จะต้องตัดสินใจว่าจะอยู่ท่ามกลางดอกไม้ หรือก้อนหิน ในห้วงซื้อเวลาบริหารประเทศจนครบเทอม!!!.

ดึงโปรย        

          “การบริหารความพึงพอใจของคนในสังคมยิ่งสำคัญกว่า เพราะทุกกลุ่มคนในสังคมต่างได้รับผลกระทบถ้วนหน้า”

ที่มา ไทยโพสต์

.

แชร์กับเพื่อน

  • Facebook iconFacebook
  • Twitter iconTwitter
  • LINE iconLine

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

28 มิถุนายน 2565

“นักเลือกตั้ง”ดีลย้ายค่ายพรรคร่วม-ฝ่ายค้าน วิกฤติ “3 ป.-พลังประชารัฐ”

อ่านต่อ
28 มิถุนายน 2565

จังหวะก้าวเดินเกมของ ทักษิณ ชินวัตร

อ่านต่อ
28 มิถุนายน 2565

“ชัชชาติ” แวะช็อป “ตลาดราษฎร” ตบไหล่ “เพนกวิ้น” แนะใจเย็นๆ เรียนให้จบ

อ่านต่อ
27 มิถุนายน 2565

นายกฯ อุ๊งอิ๊ง

อ่านต่อ
27 มิถุนายน 2565

มนต์ขลังของทักษิณ ที่ยังครอบงำสังคมไทย

อ่านต่อ
24 มิถุนายน 2565

เตรียมตัว! โรงเรียนจิตอาสาพระราชทาน จ่อเปิดรับผู้สนใจฝึกอบรมหลักสูตรจิตอาสา 904 

อ่านต่อ
Facebook Youtube Line
บริษัทบลูสกายแชนแนล
  • 2170 อาคารกรุงเทพทาวเวอร์ ชั้น 8
    แขวงบางกะปิ เขตห้วยขวาง
    กรุงเทพมหานคร 10310
  • 02-308-0020
line-logo-100
Copyright © 2021