จะเรียกว่าไหนๆ ก็ไหนๆ ประมาณนั้น สำหรับพวก “ขบวนการล้มเจ้า” ที่พยายามงัดไม้ตายสุดท้าย แบบฮึดอีกรอบ โดยล่าสุดหันมาโหน “กะเหรี่ยงบางกลอย” แถวแก่งกระจาน ประเภท “เซฟบางกลอย” อะไรนั่น หลังจากเมื่อวันที่ 13 มีนาคม ได้ตั้งขบวนมาตั้ง “หมู่บ้านทะลุฟ้า” แอบๆ อยู่ข้างม็อบบ้านบางกลอย พยายามที่จะขอรวมม็อบเข้าด้วยกัน แต่ยังไม่รู้ว่าจะสำเร็จหรือเปล่า ไม่รู้ว่าพวกเอ็นจีโอ ที่นำกะเหรี่ยงพวกนี้มาออกหน้าจะยอมหรือเปล่าต้องลุ้นกันไป
จะว่าไปแล้วน่าเป็นห่วงด้วยกันทั้งคู่ เพราะ “บางกลอย” กระแสเริ่มพลิกกลับ เริ่มถูกต่อต้านเรื่องการรุกป่าต้นน้ำ มีหลักฐานเป็นภาพถ่ายฟ้อง ทำให้สังคมเริ่มตั้งคำถาม
ขณะที่พวกม็อบ “ทะลุฟ้า” หรืออีกนัยหนึ่งก็คือ “ม็อบสามนิ้ว” นั่นแหละ หลังจากเฟสแรกเดินขบวนมาจาก “โคราช” เข้ากรุง นำโดย นายจตุภัทร์ บุญภัทรรักษา หรือ “ไผ่ ดาวดิน” ที่เวลานี้ต้องขังอยู่ในเรือนจำ หลังจากศาลไม่ให้ประกันตัวระหว่างการพิจารณาคดีตามความผิด มาตรา 112 มาตรา 116 และอีกหลายความผิด โดยก่อนหน้านั้น ระหว่างทางก็มี นายสุลักษณ์ ศิวรักษ์ นักกิจกรรมทางการเมือง และ นายชาญวิทย์ เกษตรศิริ อดีตอธิการบดีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ที่เหมือนกับเป็น “ศาสดา” ของพวก “เด็กๆ สามนิ้ว” เคารพบูชา โผล่หน้าไปให้กำลังใจและร่วมเดินพอเป็นพิธี
แน่นอนว่า การปรากฏตัวของสองผู้อาวุโสดังกล่าว เนื่องจากสองคนมีอายุรวมกันเกือบ “สองศตวรรษ” เรียกว่าทุ่มสุดตัว แต่ก็ยังแป้ก ปลุกไม่ขึ้น ไม่สามารถสร้างแรงกดดันใดๆ ได้ ทั้งที่สำหรับคนที่มองเกมการเคลื่อนไหวแบบนั้นได้ไม่ยากว่า กิจกรรมการเคลื่อนไหวในแบบที่ “เดินขบวน” กันมาในลักษณะ “ลองมาร์ช” เพื่อหวังสร้างกระแสตามรายทาง หวังให้เพิ่มมวลชนให้มีจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ แต่ทุกอย่างก็ “จุดไม่ติด”
อาจเป็นเพราะ “หัวเรื่อง” ให้ “ปล่อยเพื่อนเรา” มันไม่เวิร์ก เพราะเป็นคำสั่งศาล และยังเป็นเรื่อง “หมิ่นพระบรมเดชานุภาพ” ที่คนไทยส่วนใหญ่ยอมรับไม่ได้หรือเปล่า หรือว่าคนนำขบวนไม่น่าสนใจ “เรียกแขก” ไม่ได้หรือเปล่า
เพราะขนาดกำลังจะเข้าเขตกรุงเทพฯ มี นายสุลักษณ์ ศิวรักษ์ หรือ “ส.ศิวรักษ์” อุตส่าห์ไปร่วมเดินสร้างกระแสสักห้าเมตรสิบเมตร ก็ยังไม่ช่วยอะไรได้เลย รวมไปถึง นายชาญวิทย์ เกษตรศิริ ก็ออกแรงในแบบเดียวกัน ก็เหมือนเดิม รวมไปถึงก่อนหน้านี้ทำกันทุกทาง ทั้งร่วมลงชื่อกับอาจารย์ นักวิชาการในเครือข่ายเดียวกันยาวเป็นหางว่าว ยื่นประกันให้ปล่อย “แกนนำสามนิ้ว” ออกมา แต่ก็ยังไม่มีเหตุให้เปลี่ยนแปลงคำสั่งเดิม มาจนถึงบัดนี้ หรือแม้กระทั่งล่าสุด อ้างเรื่อง สุขภาพ หรือการสอบ ผลออกมาก็ยังเหมือนเดิม
ตรงกันข้ามกลับมีปฏิกิริยาด่าทอจากสังคมรอบข้าง รวมไปถึงเสียงวิจารณ์ทางลบไปถึงมหาวิทยาลัย สถาบันการศึกษาพวกนั้น ที่ยังกล้าออกแถลงการณ์ที่มีเนื้อหา ไม่ต่างจาก “แถลงการณ์ปลอม” เพราะไม่นึกว่าระดับอาจารย์มหาวิทยาลัยดัง จะทำแบบนี้ได้
สิ่งที่น่าเจ็บปวดก็คือ กิจกรรมการเดินทะลุฟ้า “เฟสสอง” ที่พยายามปักหลักที่หน้าทำเนียบรัฐบาล โดยยื่นข้อเรียกร้อง 3-4 ข้อ ซึ่ง 2-3 ข้อแรก หลายคนคงไม่อยากจำ แต่หนึ่งในข้อเรียกร้องหลัก ก็คือ ให้ยกเลิก มาตรา 112 นี่แหละ ถึงได้บอกว่า มัน “หลุดโลก” ไปไกลลิ
แม้ว่าอีกด้านหนึ่งนอกเหนือจากข้อเสนอ ข้อเรียกร้องอันหลุดโลกที่เป็นไปไม่ได้ และ “เงื่อนไข” ไม่เป็นใจเลยแม้แต่น้อยแล้ว ในขบวนสามนิ้วล้วนมีความแตกแยก แฉโพยกันไม่เว้นแต่ละวัน และ “แรง” ขึ้นทุกวัน โดยเฉพาะ “เรื่องเงิน เรื่องทอง” ที่ว่ากันว่าไม่เข้าใครออกใคร มันก็ยิ่งดิสเครดิตให้จมดิ่ง ไม่น่าเชื่อถือ มีแต่คนถอยห่าง
และมันก็เป็นไปตามคาด เพราะแม้กระทั่งการนัดชุมนุม ตั้งขบวนที่บริเวณอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย ที่เป็นย่านที่มักจะมีมวลชนเข้าร่วมหนาตาทุกครั้ง แต่คราวนี้มากันแค่หลักร้อย จนเมื่อไปถึงหน้าทำเนียบฯ มวลชนก็ยิ่งลดน้อยลงไปอีก และการประกาศจะปักหลักจนกว่าข้อเรียกร้องจะสำเร็จ มันก็ยิ่งยากไปกันใหญ่ เพราะตราบใดที่ไม่อาจระดมมวลชนมาจำนวนมากมากดดัน มันก็ยิ่งทำให้เด็กๆ พวกนั้น มีความผิดต้องติดคุกเพิ่มขึ้นไปอีก
ดังนั้น เมื่อสถานการณ์ “ได้เสีย” กันแบบนี้ ก็น่าจะถึงเวลาแล้วที่ต้องระดับ “ศาสดา” กระโดดลงมาเต็มตัว ในที่นี้ก็ต้องหมายถึง “นาย ส.ศิวรักษ์” ผนึกกำลังกับ นายชาญวิทย์ เกษตรศิริ ลงมา “นำม็อบ” อย่างเต็มตัวเสียที อย่าแอบหลังพวกเด็กไร้เดียงสาอีกต่อไปเลย เพราะไหนๆ สังคมส่วนใหญ่ก็รับรู้กันอยู่แล้ว
เมื่อเป้าหมายของ “ม็อบสามนิ้ว” ต้องการ “เดินทะลุฟ้า” นาทีนี้ก็น่าจะเดินให้ “ทะลุโลก” ไปเลย หรือหากจะยังคิดว่ามีพลังไม่พอ ก็ต้องขอแรงสองคู่หู อย่าง นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ และ นายปิยบุตร แสงกนกกุล ที่หลายคนเข้าใจว่าเป็น “สปอนเซอร์” รายใหญ่ มาร่วมอีกแรงก็น่าจะได้ผล ลองเสี่ยงกันดู !!
.