7 ก.พ. 64
ในวันที่ 9 ก.พ. 2564 มีการประชุมที่ประชุมรัฐสภา พิจารณาเรื่อง ญัตติที่กลุ่มสว. 48 คน โดยมีนายสมชาย แสวงการ
เป็นหัวหน้าทีม ร่วมกับ ส.ส. พรรคพลังประชารัฐอีก 25 คนเป็นหัวขบวน รวมกันเข้าชื่อยื่นเรื่องต่อประธานสภาฯ ขอให้ศาลรัฐธรรมนูญชี้ขาด การมี ส.ส.ร. 200 คนยกร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ว่า เข้าข่ายขัดรัฐธรรมนูญหรือไม่
นายอันวาร์ สาและ ส.ส. ปัตตานีพรรคประชาธิปัตย์ แสดงความเห็นว่า เป้าหมายของคนกลุ่มนี้คงต้องการยืมมือศาล เพื่อที่จะชะลอกระบวนการการแก้ไขรัฐธรรมนูญที่ผ่านความเห็นชอบจากที่ประชุมในวาระแรก และกำลังจะเข้าพิจารณาในวาระ 2 และ 3 เพื่อไม่ให้เดินหน้าต่อไป
ผมแปลกใจมากว่า ส.ส. พรรคพลังประชารัฐทำเช่นนี้ได้อย่างไร เพราะทุกคนก็ได้ร่วมลงชื่อสนับสนุนญัตติแก้ไขในนามพรรคร่วมรัฐบาล แต่ดันมีข่าวว่ามี ส.ส. พรรคพลังประชารัฐ ถึง 25 คน ไปร่วมสบคบกับสว. ลากตั้ง 48 คนยื่นศาลรัฐธรรมนูญ
เพื่อล้มการแก้ไขรัฐธรรมนูญของตัวเอง ผมอ่านข่าวแล้วก็รู้สึกตลก แต่ไม่รู้ว่าประชาชนจะนึกขำด้วยหรือไม่ เพราะการแก้ไขรัฐธรรมนูญ เป็นนโยบายเร่งด่วน ข้อที่ 12 ที่เสนอโดยพรรคประชาธิปัตย์ หากจะให้พรรคเข้าร่วมรัฐบาล แต่ฝ่ายพรรคแกนนำรัฐบาลกลับมาสมคบคิดกับสว.บางคน ที่นิยมอยากเป็นนักการเมือง แต่ไม่อยากเลือกตั้ง พยายามทำทุกอย่างเพื่อจะไม่ให้มีการแก้ไขรัฐธรรมนูญทั้งๆที่เป็นวาระเร่งด่วน
ผมก็ขอฟ้องพี่น้องประชาชนให้จดจำพรรคการเมืองและนักการเมืองที่คิดว่าประชาชนโง่เอาไว้ให้ดี และควรที่จะให้บทเรียนในช่วงเลือกตั้ง จังหวะดีมากช่วงนี้ จะมีการเลือกตั้งซ่อมที่นครศรีธรรมราช เขต 3 ซึ่งแกนนำรัฐบาลก็ได้ประกาศแล้วว่าจะส่งผู้สมัคร ลงเลือกตั้งแข่งกับพรรคประชาธิปัตย์ โดยอ้างว่าเป็นเรื่องของประชาธิปไตย ไม่ใช่เรื่องมารยาททางการเมือง ซึ่งผมได้ให้สัมภาษณ์ ชื่นชม และเห็นด้วยกับพลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ เพราะการแพ้ชนะเป็นเรื่องภายในของพรรค ไม่ใช่ระดับประเทศ ผู้บริหารของแต่ละพรรคจะร่วมรัฐบาลกันต่อไปหรือไม่ ก็แล้วแต่ความคิดของแต่ละคน
แต่ผมเห็นว่า การอภิปรายไม่ไว้วางใจที่กำลังจะเกิดขึ้นนั้นเป็นเรื่องสำคัญ เพราะเกี่ยวกับการบริหารที่ต้องมีความโปร่งใสและชัดเจน ไม่ใช่เรื่องของมารยาทอย่างแน่นอน หากชี้แจงไม่ได้ ยังมีความคลุมเครือ ก็หวังว่าสภาฯคงจะไม่ยึดถือเรื่องมารยาททางการเมือง ควรจะต้องพิจารณาในเรื่องการทำในสิ่งถูกให้เป็นถูก ผิดให้เป็นผิด เพราะแกนนำรัฐบาลได้ประกาศแล้วว่าการเมืองไม่เกี่ยวกับมารยาท
.