วันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2565
เวลา 09.00 น.
ที่ตึกสันติไมตรี ทำเนียบรัฐบาล
นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ รองนายกรัฐมนตรี และ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ให้สัมภาษณ์ก่อนการประชุมคณะรัฐมนตรี ถึงเรื่องโครงการข้าวแกงจานละ 20 บาท เป็นเรื่องที่นายชนินทร์ รุ่งแสง ได้ประสานงานกับภาคเอกชน เพื่อไปจัดโครงการช่วยให้พี่น้องในชุมชนสามารถซื้อข้าวแกงราคาถูกจานละ 20 บาทได้ เพราะมีอยู่หลายร้านที่ได้ประสานงาน ถือว่าเป็นประโยชน์กับพี่น้องประชาชนในชุมชนอยู่แล้ว เพราะเป็นความร่วมมือระหว่างนายชนินทร์ กับภาคเอกชน ที่ช่วยกัน
ผู้สื่อข่าวถามว่า เรื่องดังกล่าวกลายเป็นประเด็นในการหาเสียงล่วงหน้านั้น นายจุรินทร์ กล่าวว่า เรื่องนี้เป็นเรื่องที่เขาร่วมมือกับเอกชน ซึ่งทุกคนสามารถทำได้อยู่แล้ว และประสานเอกชนเพื่อหาวัตถุดิบในการทำข้าวแกงราคาถูกไปให้กับร้านข้าวแกง ดังนั้นร้านข้าวแกงก็สามารถขายจานละ 20 บาทได้โดยต่อเนื่อง ซึ่งเป็นโครงการที่ทุกคนสามารถทำได้อยู่แล้ว
ผู้สื่อข่าวถามถึงการที่ว่าที่ผู้สมัคร สก. และว่าที่ผู้สมัคร ส.ส. รวมทั้งมีการนำรูป “เอ้ สุชัชวีร์” ไปจัดทำเป็นแบนเนอร์ ระบุว่าเป็นผู้ประสานงานให้กระทรวงพาณิชย์นำโครงการลดสินค้าเพื่อประชาชนมาให้บริการในพื้นที่นั้น รมว.พาณิชย์ กล่าวว่า โครงการพาณิชย์ลดราคา! ช่วยประชาชน เป็นไปตามกำหนดการที่กระทรวงพาณิชย์ดำเนินการอยู่แล้ว ซึ่งได้มีการประกาศล่วงหน้าว่าจะไปจอดที่ไหน ชุมชนไหนอย่างไร และได้ประกาศลงในเว็บไซต์ล่วงหน้าอยู่แล้วว่า ถ้าจะไปที่ชุมชนไหน วันไหน เวลาเท่าไหร่
“เป็นเรื่องที่ทุกคนก็รับทราบอยู่แล้ว ไม่ว่าจะเป็นผู้สมัคร หรือเป็นพี่น้องประชาชนทั่วไป หรือใครก็ตาม ส่วนเมื่อรับทราบแล้ว ใครจะไปช่วยประชาสัมพันธ์อย่างไรก็เป็นเรื่องเฉพาะตัวที่เขาดำเนินการ แต่เราก็ไปตามกำหนดการที่ได้ประกาศไปล่วงหน้า เพื่อให้พี่น้องประชาชนรับทราบเป็นการประชาสัมพันธ์ ไม่เช่นนั้นอยู่ๆ ก็ไปจอดชาวบ้านก็ไม่ทราบ ในชุมชนก็ออกมาซื้อไม่ได้” รมว.พาณิชย์กล่าว
ผู้สื่อข่าวถามว่าการที่มีภาพ “เอ้ สุชัชวีร์” ไปอยู่ในแบนเนอร์ด้วย หลายคนมองว่าเป็นการนำนโยบายรัฐมาหาเสียงนั้น รมว.พาณิชย์ กล่าวว่า ตนไม่ทราบว่าตรงไหนอย่างไร แต่เราก็ไปตามกำหนดการของเรา ส่วนพี่น้องประชาชนหรือถ้าจะมีใครไปร่วมด้วยอย่างไรอันนั้นก็เป็นเรื่องของแต่ละบุคคลไป แต่กระทรวงพาณิชย์ก็ทำหน้าที่ของกระทรวงพาณิชย์ ไม่จำเป็นที่จะต้องไปดำเนินการในทางที่จะเกี่ยวข้องกับผู้สมัครคนใดคนหนึ่ง พรรคการเมืองไหนก็ได้ที่จะมาร่วม จะพาชาวบ้านมาซื้อของราคาถูกของกระทรวงพาณิชย์ อันนั้นทุกคนก็มีสิทธิ์ ไม่ได้ไปจำกัดว่าเป็นพรรคนี้พามาได้ พรรคโน้นพามาไม่ได้ หรือว่าพี่น้องประชาชนคนนี้เข้ามาซื้อได้ คนนั้นเข้ามาซื้อไม่ได้ อันนี้เป็นโครงการที่ประกาศล่วงหน้าทั่วไป มีประกาศกำหนดการชัดเจน แล้วก็ประกาศไปก่อนแล้ว
ไม่มีวัตถุประสงค์ที่จะให้เป็นเรื่องของการหาเสียง ส่วนใครจะมา พาชาวบ้านมาซื้อสินค้าราคาถูกอันนั้นก็เป็นสิทธิ์ของแต่ละคน และไม่ได้ไปจำกัดว่าคนนั้นซื้อได้ คนนี้ซื้อไม่ได้ คนนั้นพามาซื้อได้ คนนี้พามาซื้อไม่ได้ เพราะประกาศก็ทราบกันทั่วไป
“ตอนนี้ก็ต้องเข้าโหมดของการเลือกตั้ง เพราะฉะนั้นที่ผ่านมา เราก็เห็นแล้วเรื่อง ดร.เอ้ ผมไม่ได้พูดถึงกรณีนี้นะ แต่บางกรณีมันกลายเป็นเรื่องที่เราก็เห็นชัดว่าเป็นเรื่องของการดิสเครดิตทางการเมืองกัน เช่นเรื่องของกรรมาธิการที่อยู่ๆ ก็มาสอบบัญชีทรัพย์สิน ซึ่งความจริงมันเป็นหน้าที่ของ ปปช. แต่อันนี้มันไม่ใช่ ปปช. เป็น กมธ.คณะหนึ่งในสภาผู้แทนราษฎร ซึ่งก็มีพรรคการเมืองทุกพรรคอยู่ในนั้น เพราะฉะนั้นมันก็หมิ่นเหม่ที่จะกลายเป็นเรื่องการเมืองได้ เป็นเรื่องดิสเครดิตทางการเมืองได้ ผมก็เลยเคยเตือนไงครับว่า ขอให้ระมัดระวัง มันอาจจะนำไปสู่การกระทำที่มันไม่ถูกต้องตามกฎหมายและครรลองคลองธรรมที่มันควรจะเป็น หรืออาจจะเกินอำนาจหน้าที่ หรือมันไม่เหมาะที่จะมาทำหน้าที่ในลักษณะนี้ ไม่เช่นนั้นเดี๋ยวก็จะมีคนยื่นผู้สมัครผู้ว่าฯ กทม. พรรคอื่น พรรคนั้นพรรคนี้ด้วย ทีนี้มันก็จะกลายเป็นชุลมุนทางการเมืองโดยไม่จำเป็น เพราะฉะนั้นองค์กรที่เขามีหน้าที่เขามีอยู่แล้วคือ กรรมการ ปปช. ที่เป็นองค์กรอิสระในการตรวจบัญชีทรัพย์สิน หรือความร่ำรวยผิดปกติ หรือไม่ผิดปกติ” หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์กล่าว
พร้อมกับตอบข้อสื่อข่าวที่ถามถึงเรื่องดังกล่าวว่าได้ให้ฝ่ายกฎหมายของพรรคตรวจสอบแล้วหรือไม่นั้นว่า ตนเคยเรียนแล้วว่า เขาจะลงสมัครในนามพรรค เพราะฉะนั้นกลไกของพรรคก็ต้องติดตาม
ส่วนที่นักข่าวถามถึงการที่ รัฐมนตรีสัดส่วนพรรคภูมิใจไทย ไม่เข้าร่วมประชุม ครม. นั้น จะส่งผลต่อเสถียรภาพรัฐบาลอย่างไรหรือไม่นั้น หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์กล่าวว่า ตนยังไม่ทราบ และต้องขออภัยที่ไม่สามารถตอบได้