คลิปสุดท้าย’ลุงพล’ก่อนหายตัว? ลั่นสู้คดี’น้องชมพู่’-วอนสังคมอย่าเพิ่งตัดสิน
เมื่อวันที่ 2 มิถุนายน 2564 เมื่อช่วงกลางดึกที่ผ่านมา ช่องยูทูป “มนต์ โอม” ได้เผยแพร่คลิปของ นายไชยพล วิภา หรือ “ลุงพล” ภายหลังตกเป็นผู้ต้องหาคดีฆาตกรรม “น้องชมพู่” โดยถูกตั้ง 3 ข้อหาหนัก (อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง : ด่วนที่สุด! ศาลออกหมายจับ’ลุงพล’ 3 ข้อหาหนักเอี่ยวคดี’น้องชมพู่’) (อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง : เปิดปฏิบัติการฟ้าสางกลางกกกอก ตร.บุกบ้าน’ลุงพล’แต่ยังไร้เงา)
โดยในคลิป “ลุงพล” กล่าวบางช่วงถึงกรณีที่ตนเองโดนหมายจับคดีน้องชมพู่ ว่า “ตนพร้อมต่อสู้คดี พร้อมระบายความในใจกรณีนักข่าวรุมล้อม ไร้ความเป็นส่วนตัว และพูดถึงคนไปออกทีวี ลุงพล 2 ซิมบ้าง แปลว่าอะไร คนนี้กลัวความผิดจะเข้าตัวเอง กลัวกฎหมายเลยพูดเลี่ยงไป ตนก็ไม่รู้สร้างเวรกรรมอะไรกับเขา ทั้งนี้ ตนขอวอนสังคมอย่าเพิ่งตัดสิน อย่าด่วนสรุปสิ่งที่ได้ยินมา”
ผบ.ตร.แถลงจับ’ลุงพล’ เปิด 3 ประเด็นพยานหลักฐาน มัดตัวคดี’น้องชมพู่’
เมื่อวันที่ 2 มิถุนายน 2564 ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) ได้แถลงข่าวการจับกุม นายไชย์พล วิภา หรือ “ลุงพล” ผู้ต้องหาในคดีการเสียชีวิตของน้องชมพู่ โดยระบุว่า หลังจากที่นายไชย์พลเข้ามอบตัวแล้ว ก็จะส่งตัวไปให้พนักงานสอบสวนที่ สภ.กกตูม อ.ดงหลวง จ.มุกดกหาร เพื่อทำการสอบสวนและดำเนินคดีตามกฎหมาย
อย่างไรก็ตาม ภายหลังจากที่นายไชย์พลเข้ามอบตัวแล้ว ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจสามารถควบคุมตัวได้เป็นเวลา 48 ชั่วโมง จากนี้ไปก็จะนำตัวนายไชย์พลส่งไปที่ สภ.กกตูม สำหรับการประกันตัวนั้น เรื่องนี้เป็นหน้าที่ของพนักงานสอบสวน ที่จะตัดสินใจว่าจะให้ประกันตัวนายไชย์พลหรือไม่ ทั้งนี้ พนักงานสอบสวนจะพิจารณาในหลายประเด็นเกี่ยวกับการขอประกันตัว หากพิจารณาแล้วมีความเห็นอย่างไร ก็จะดำเนินการตามขั้นตอนอันเหมาะสมต่อไป
คดีนี้สืบเนื่องจาก เมื่อวันที่ 11 พฤษภาคม 2563 น้องชมพู่ ได้หายตัวไปจากบริเวณหน้าบ้านของ น.ส.จุไรภรณ์ สุขพันธุ์ หรือน้าต่าย ซึ่งเป็นบ้านที่ติดกับบ้านของน้องชมพู่ จากนั้น น.ส.สาวิตรี วงศ์ศรีชา มารดา ได้แจ้งความต่อพนักงานสอบสวน สภ.กกตูม จ.มุกดาหาร พร้อมได้ระดมกำลังช่วยกันค้นหา จนกระทั่งต่อมาวันที่ 14 พฤษภาคม 2563 เวลาประมาณ 19.00 น.จึงได้พบศพน้องชมพู่ ในสภาพนอนเปลือยอยู่บนภูเหล็กไฟ ต.กกตูม อ.ดงหลวง จ.มุกดาหาร
จากนั้นตำรวจได้แต่งตั้งคณะพนักงานสืบสวนสอบสวนตามคำสั่ง ที่ 336/2563 ลงวันที่ 23 มิถุนายน 2563 เพื่อคลี่คลายคดี โดยหลังจากรวบรวมพยานหลักฐานในคดีนี้มาอย่างต่อเนื่องจนถึงปัจจุบัน โดยได้มีการสอบสวนปากคำพยานบุคคลที่เกี่ยวข้อง โดยสัมภาษณ์บุคคล จำนวน 384 ปาก และได้สอบปากคำเข้าสำนวนการสอบสวน จำนวน 120 ปาก สอบปากคำพยานผู้เชี่ยวชาญด้านนิติวิทยาศาสตร์ และพยานผู้เชี่ยวชาญด้านต่างๆ ไว้แล้ว จำนวน 31 ปาก รวบรวมพยานหลักฐาน ซึ่งเป็นพยานวัตถุจากจุดเกิดเหตุที่น้องชมพู่ถูกนำตัวไป เส้นทางที่เชื่อว่าเป็นเส้นทางการก่อเหตุ ไปจนถึงจุดพบศพบนภูเหล็กไฟ รวมจำนวน 113 ชิ้น พยานวัตถุจากกลุ่มบุคคลผู้ต้องสงสัย หรือผู้เกี่ยวข้อง จำนวน 166 ตัวอย่าง แล้วดำเนินการส่งตรวจพิสูจน์เปรียบเทียบ ตลอดจนพยานหลักฐานเอกสารที่เกี่ยวข้องจากข้อมูลโซเชียลมีเดีย ข้อมูลการให้สัมภาษณ์ ข้อมูลต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับบุคคลต้องสงสัย ทั้งช่วงก่อนเกิดเหตุ ขณะเกิดเหตุ และหลังเกิดเหตุ นำไปให้ผู้เชี่ยวชาญดำเนินการวิเคราะห์ข้อมูล และประเมินผลไว้เรียบร้อยแล้ว
ซึ่งผลจากการรวบรวมพยานหลักฐานยืนยันได้ว่า 1.การหายตัวไปนั้นอยู่ใน ช่วงเวลาระหว่าง 09.11 – 09.49 น.สรุป มีช่วงเวลาที่คนร้ายสามารถเข้าไปก่อเหตุเพียง 38 นาที 2.วันที่ 14 พฤษภาคม 2563 เวลา 19.00 น.ได้พบศพน้องชมพู่อยู่บนภูเหล็กไฟ สภาพศพถูกคนร้ายถอดเสื้อผ้า จับถ่างขาให้มีลักษณะเหมือนถูกกระทำชำเรา และใช้มีดหรือของมีคมด้านเดียว สับฟัน เถือ ตัด ไปที่บริเวณเส้นผมของศพน้องชมพู่ และ 3.จากการชันสูตรพลิกศพของแพทย์นิติเวช สันนิษฐานสาเหตุการเสียชีวิตไว้ว่าเสียชีวิตในห้วงเวลาระหว่างวันที่ 12 พฤษภาคม 2563 เวลาประมาณ 14.30 น.ถึงวันที่ 13 พฤษภาคม 2563 เวลาประมาณ 14.30 น.จากการขาดน้ำขาดอาหาร ไม่พบบาดแผลหรือร่องรอยการล่วงละเมิดทางเพศ ไม่พบบาดแผลที่จะทำให้ถึงแก่ความตายได้
ต่อมาเมื่อวันที่ 2 ตุลาคม 2563 พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผบ.ตร.ได้แถลงสรุปผลว่า น้องชมพู่ ไม่สามารถเดินขึ้นไปบริเวณจุดพบศพได้ด้วยตนเอง แต่มีคนร้ายพาไป
ล่าสุดในวันนี้ การรวบรวมพยานหลักฐานได้ครบถ้วนสมบูรณ์แล้ว ซึ่งได้สรุปได้ดังนี้
1.การกระทำของคนร้ายในคดีนี้ มีการพาเหยื่อไปทิ้งที่ไกลๆ เพื่อเป็นการอำพรางคดี ซึ่งเป็นแผนประทุษกรรมของคนร้ายที่เป็นคนใกล้ชิดกับเหยื่อ หากปล่อยให้เหยื่อยังมีชีวิตอยู่ จะสามารถชี้ยืนยันตัวเองว่าเป็นผู้กระทำผิดดังกล่าวได้ จึงจำเป็นต้องมีการอำพรางคดีเพื่อให้ความผิดพ้นตัว
2.ช่วงเวลาที่น้องชมพู่ หายตัวไปจากบริเวณจุดเกิดเหตุ พี่สาวของน้องชมพู่ อยู่ห่างจากจุดเกิดเหตุเพียง 10 เมตร แต่กลับไม่ได้ยินเสียงร้องของน้องชมพู่เลย ทั้งที่อุปนิสัยของน้องชมพู่ จะเป็นคนหวงตัว หากไม่ใช่บุคคลใกล้ชิดจะร้องเสียงดังทันที
3.บริเวณจุดพบศพ บนภูเหล็กไฟ พบรองเท้า รถแมคโค ของเล่น ตกอยู่ จึงยืนยันได้ว่าน้องชมพู่ เต็มใจเดินไปกับคนร้าย มิฉะนั้นแล้ว ของเล่น หรือรองเท้า จะไม่ติดตัวน้องชมพู่ ไปถึงจุดพบศพอย่างแน่นอน
จากทั้ง 3 ประเด็นนี้ มีพยานหลักฐาน ทั้งพยานบุคคลที่ใกล้ชิดเหตุการณ์ พยานผู้เชี่ยวชาญในด้านต่างๆ เช่น นักจิตวิทยา นักโภชนาการ ผู้เชี่ยวชาญด้านไสยศาสตร์ สุนัขดมกลิ่น เป็นต้น ประกอบการจำลองเหตุการณ์โดยเจ้าหน้าที่ตำรวจฝ่ายสืบสวน ผลการตรวจชันสูตรศพ ผลตรวจทางวิทยาศาสตร์ต่างๆ ยืนยันได้ว่า นายไชย์พล วิภา หรือ ลุงพล เป็นบุคคลที่พาตัวน้องชมพู่ ไปจากบ้านที่เกิดเหตุเพื่อเดินทางไปรับส่งพระด้วยกัน ระหว่างเดินทางไปนั้นได้เกิดเหตุการณ์อย่างหนึ่งอย่างใดขึ้น จนเป็นเหตุให้ไม่สามารถพาน้องชมพู่ไปด้วยได้ จึงนำตัวน้องชมพู่ ซึ่งเชื่อว่าหมดสติ ไปซุกซ่อนไว้บริเวณป่าท้ายหมู่บ้าน แล้วจึงเดินทางไปรับพระ
เมื่อพบกับพระจึงเล่าเรื่องราวน้องชมพู่หายให้พระฟังในทันทีทันใด ทั้งที่ยังไม่มีผู้ใดทราบเหตุดังกล่าว เมื่อเสร็จธุระ นายไชย์พลจึงย้อนกลับมา และพบว่าน้องชมพู่ ยังไม่เสียชีวิต จึงนำตัวน้องชมพู่ขึ้นไปทิ้งไว้บนภูเหล็กไฟ จนกระทั่งน้องชมพู่เสียชีวิต จากการขาดน้ำ และขาดอาหารในเวลาต่อมา จากนั้นได้เข้าจัดการกับสภาพศพ โดยถอดเสื้อผ้า จับถ่างขาให้มีลักษณะเหมือนถูกกระทำชำเรา และใช้มีด หรือของมีคมด้านเดียว สับ ฟัน เถือ ตัด ไปที่บริเวณเส้นผมของศพน้องชมพู่ นำไปประกอบพิธีกรรมทางไสยศาสตร์ตามความเชื่อของตน
ซึ่งจากการตรวจค้นรถยนต์ของนายไชย์พล พบวัตถุพยานต้องสงสัยบางอย่างตกหล่นอยู่ภายในรถยนต์ ผลการตรวจพิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์ยืนยันได้ว่า วัตถุพยานดังกล่าว เป็นสิ่งของที่มาจากศพของน้องชมพู่หลังจากที่เสียชีวิตแล้ว จึงเชื่อว่านายไชย์พลมีส่วนเกี่ยวข้องกับการจัดการสภาพศพ และสภาพแวดล้อมบริเวณที่พบศพดังกล่าว เพื่อเบี่ยงเบนประเด็นการสืบสวน และปกปิดร่องรอยพยานหลักฐาน เพราะหากนายไชย์พลไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง ย่อมไม่พบหลักฐานดังกล่าวภายในรถยนต์ของตนแต่อย่างใด
พนักงานสอบสวน จึงได้ยื่นคำร้องต่อศาลขอหมายจับ นายไชย์พล วิภา หรือ ลุงพล ในความผิดฐาน พรากเด็กอายุไม่เกินสิบห้าปี ไปเสียจากบิดามารดา โดยปราศจากเหตุอันควร, ทอดทิ้งเด็กอายุไม่เกินเก้าปี เพื่อให้เด็กนั้นพ้นไปเสียจากตน โดยประการที่ทำให้เด็กนั้น ปราศจากผู้ดูแล เป็นเหตุให้เด็กถึงแก่ความตาย และกระทำการใดๆ แก่ศพ หรือสภาพแวดล้อมในบริเวณที่พบศพ ก่อนการชันสูตรพลิกศพเสร็จสิ้น ในประการที่น่าจะทำให้การชันสูตรพลิกศพ หรือผลทางคดีเปลี่ยนแปลงไป
ซึ่งศาลจังหวัดมุกดาหารได้อนุมัติให้จับตัวนายไชย์พล ตามหมายจับศาลจังหวัดมุกดาหาร ที่ จ.53/2564 ลงวันที่ 1 มิถุนายน 2564 ในความผิดฐานดังกล่าวข้างต้น
‘ลุงพล’ปฏิเสธทุกข้อกล่าวหา ตร.หิ้วตัวขึ้น ฮ.ไป สภ.กกตูม
เมื่อวันที่ 2 มิถุนายน 2564 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า หลังจากเมื่อช่วงสายที่ผ่านมา นายไชย์พล วิภา หรือ “ลุงพล” ผู้ต้องหาในคดีการเสียชีวิตของน้องชมพู่ พร้อมด้วย นางสมพร หลาบโพธิ์ หรือ “ป้าแต๋น” และนายษิทรา เบี้ยบังเกิด ทนายความ เดินทางเข้ามอบตัวที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ หลังศาลจังหวัดมุกดาหาร อนุมัติหมายจับ นายไชย์พล 3 ข้อหานั้น
ต่อมาเวลา 13.10 น.ตำรวจฝ่ายสืบสวนได้ควบคุมตัวนายไชย์พล ขึ้นรถ เพื่อเดินทางไปยังกองบินตำรวจท่าแร้ง ก่อนที้จะขึ้นเฮลิคอปเตอร์ต่อไปที่ สภ.กกตูม ซึ่งระหว่างการควบคุมตัวนายไชย์พลขึ้นรถผู้ต้องขัง นางสมพร หรือ ป้าแต๋น และทนายษิทรา ได้ขึ้นรถไปพร้อมกัน โดยไม่มีการตอบคำถามสื่อมวลชนแต่อย่างใด แม้ผู้สื่อข่าวจะพยายามสอบถามหลายประเด็น
เบื้องต้นพนักงานสอบสวน สน.ปทุมวัน เปิดเผยว่า นายไชย์พลให้การปฏิเสธในทุกข้อกล่าวหา และปฏิเสธที่จะให้การในชั้นสอบสวนที่ สน.ปทุมวัน โดยอ้างว่าจะไปให้ปากคำที่ สภ.กกตูม
ที่มา แนวหน้า